เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Up หลังยืนเหนือ 1,600 จุดได้ รวมถึงคาดยังคงได้อานิสงส์จากกระแสเงินทุนที่เริ่มกลับมาไหลเข้าต่อเนื่องในระยะนี้ทั้งในตลาดหุ้นและ Futures ล่าสุด Dollar Index และ Bond Yield สหรัฐฯ ยังเห็นการชะลอตัวลงต่อโดยตลาดคาดหวังว่า FED จะเริ่มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยลงบ้างในระยะถัดไป โดยปัจจุบันตลาดคาดอัตราดอกเบี้ยของ FED จะพีคที่ 4.75-5% ในช่วงต้นปีหน้า โดยรวมตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามาหนุน
ตลาดยังคงโฟกัสที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคและการท่องเที่ยวที่กำลังจะเข้า High Season นอกจากนี้ตลาดกำลังจะเข้าสู่ช่วง Preview และประกาศกำไร 3Q22 ของบริษัทจดทะเบียนฝั่ง Real Sector ที่หนาแน่นมากขึ้นซึ่งจะมีผลต่อราคาหุ้นเป็นรายตัว เรายังคงชอบหุ้น Domestic และ Reopening Play ใน 4Q22-2023 และเชื่อว่าจะ Outperform ตลาดได้ต่อเนื่อง
กลยุทธ์ : เลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดงบ 3Q22 แข็งแกร่งและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่ม
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BBL, BDMS, CK, CPALL, TU
หุ้นเด่นวันนี้ : EKH
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 9.30 บาท
• คาดกำไร 3Q22 +34% Q-Q จาก High Season หนุนผู้ป่วย Non-COVID-19 โตเด่น แต่ -58% Y-Y จากฐานสูงปีก่อนเนื่องจากมีเดลต้าระบาดหนัก ส่วนด้าน Margin คาดปรับตัวดีขึ้นจาก Operating Leverage หลังต่ำผิดปกติไตรมาสก่อน
• แนวโน้มกำไร 4Q22 เราคาดได้แรงหนุนจากการบันทึกกำไรของเงินลงทุนใน KLINIQ ที่ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 10% ส่วนการดำเนินงานหลัก Utilization Rate ปัจจุบันยังค่อนข้างเต็ม ทำให้เราประเมินว่ามีโอกาสเห็นการลงทุนขยาย Capacity ใน 1-2 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว
• แนวรับ 7.60-7.50 บาท แนวต้าน 8//8.20 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ความกังวลดอกเบี้ย Fed ลดลง ของไทยเริ่มมีแรงเข้าเก็งงบ 3Q ตลาดเริ่มมีแรงซื้อกลับ หลังจาก Dollar อ่อนตัวลง (ล่าสุด Dollar Index 110 จุด) สะท้อนว่าความเสี่ยงของตลาดลดลง จากคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ย Fed 2 ครั้งสุดท้าย (2 พ.ย. และ 14 ธ.ค.) จะไม่ปรับตัวในระดับที่สูงกว่าคาด
จับตานโยบาย Zero Covid จีน ของสี จิ้นผิง ที่ยังเป็นความเสี่ยงของตลาด เรามองว่าหลัก ๆ จะกระทบภาคการท่องเที่ยวจากการไม่เปิดประเทศของจีน และภาคการส่งออก
ตลาดหุ้นไทย จะเริ่มมีแรงเข้าเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการออกมาดี หลังจากการส่งงบของหลาย ๆ บริษัท กำไรออกมาดีกว่าตลาดคาด วันนี้หุ้น SCC ส่งงบ ทาง DAOL ประเมินกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาท -40% YoY; -59%QoQ
ครม.ปลดล็อกต่างชาติรายได้สูง ซื้อบ้าน-ที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ แลกลงทุน 40 ล้าน เรามองเป็นบวกต่อกลุ่ม property ซึ่งมาตรการนี้เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้เสนอไปก่อนหน้านี้
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯ
Strategy
• เรามองตลาดแค่ Rebound จากจุดที่ลงมาเยอะ (ก่อนนี้ดัชนีฯ >1600 จุด) เมื่อความกังวลลดลง แรงซื้อจึงกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง หากวันนี้ดัชนีฯ ยืนเหนือ 1600 จุดได้ เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็น 1620 จุด
• เรายังแนะนำให้บริหารพอร์ตโดยใช้เงินสด 40-60% ในการเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากตลาดยังดูไม่มั่นคงนัก และปรับ Time Frame ในการลงทุนเป็นระยะสั้น (1-3 วัน)
• หุ้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจและส่งออกจีนที่ยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนคือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ เดินเรือ
• หุ้นที่ราคาลงมาลึก กลายเป็นกลุ่มที่ถูกเวียนมาเล่นรายวัน (มองข้าม Fundamental ไปก่อน) วันนี้เราชอบ AIT, JMT, EGCO
• พอร์ตหุ้นวันนี้เรานำหุ้น CENTEL, CHAYO, BEM ออกจากพอร์ต และนำหุ้น CBG, EGCO*, AIT* เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบด้วย CBG(10%), EGCO*(10%), AIT*(10%), GLOBAL(10%), GUNKUL(10%), IVL(10%)
Strategy Stock Pick
EGCO*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 170 บาท) “เสริมหุ้นลงลึกลุ้น bottom out.. คาดกำไร 2H22E โตเด่น”
• ลุ้นผลประกอบการ 2H22 ฟื้นเด่น เบื้องต้น Bloomberg Consensus ประเมินเฉลี่ยที่ 8.58 พัน ลบ. +157%HoH ผ่านช่วงหยุดซ่อมบำรุง และเริ่มมี COD โรงไฟฟ้าใหม่ ตั้งเป้าปี ’22 มีกำลังการผลิตเพิ่มอีกราว 1000 MWe
• มุ่งขยายกำลังการพลังโรงไฟฟ้ากลุ่ม Green Energy และ EGCO เป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าตัวเก็งที่เข้าประมูลงาน จาก กกพ. 5.2GW (พลังงานสะอาด) และ 100 MW (ขยะอุตสาหกรรม)
• Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 เฉลี่ยที่ 1.19 หมื่น ลบ. และ 1.25 หมื่น ลบ. +191%YoY, +5%YoY ตามลำดับ
Technical : BH, CHIC
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมิน SET Index วันพุธ แกว่งตัวขึ้นต่อ... หลังจากเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์แรงกว่าที่คาดเล็กน้อย ตามฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่กลับมาค่อนข้างดี + การแรลลี่ของหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่าง DELTA (+6.39%)...
ขณะที่ในวันนี้ ปัจจัยโดยรวมต่อตลาดหุ้นเป็นบวกเล็กน้อย กล่าวคือ i) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ฟื้นตัวต่อ ได้แรงหนุนจากบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ที่ลดลงค่อนข้างแรง หลังจากสหรัฐฯ รายงานตัวเลขราคาบ้านเฉลี่ย เดือน ส.ค. -1.6% MoM, +13% YoY ซึ่งต่ำกว่าที่ consensus คาดการณ์ค่อนข้างมาก และทำให้ตลาดมองว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะชะลอตัวในระยะถัดไป เพราะค่าเช่าบ้านน่าจะค่อยๆ ชะลอตัวตามราคาบ้านที่ลดลง ii) ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ ปรับฐานลงค่อนข้างแรง ทั้งจากบอนด์ยิลด์ที่ลดลงดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งประเด็นข่าวที่ว่า ธ.กลางญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนให้แข็งขึ้นอีกครั้ง และในฝั่งอังกฤษได้นายกฯ คนใหม่ นาย Rishi Sunak ซึ่งมีประวัติการศึกษาและการทำงานด้านเศรษฐกิจค่อนข้างดี น่าจะสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดการเงินได้ไม่มากก็น้อย ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรฟื้นตัวในระยะสั้น...
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ยังมีปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ และอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้อีก เช่น GDP ไตรมาส 3/2565 ของสหรัฐฯ (รายงานวันที่ 27 ต.ค.) และตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือน ก.ย. (รายงานวันที่ 28 ต.ค.)
เก็งกำไร SCGP*, ERW, SCB*
SCGP* (เป้าพื้นฐาน 63 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 53 บาท / แนวต้าน 54 - 55 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 57 บาท (Stop loss 51.5 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุดแล้ว และคาดจะเริ่มฟื้นตัวใน 4Q65 จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ต้นทุนการขนส่งที่ลดลง และปัจจัยฤดูกาลที่เป็น High season 3) ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไรป 2566 กลับมาโต +20% YoY ขณะที่ Forward PE 26.8 เท่า คิดเป็นราว -1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต
ERW (เป้าพื้นฐาน 5.1 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 4.42 บาท / แนวต้าน 4.54 - 4.66 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 4.8 บาท (Stop loss 4.3 บาท) 2) ประเมิน Sentiment บวกจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยจากการเปิดประเทศ และคาดภาครัฐฯเตรียมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวปลายปีนี้ - ต้นปีหน้า หนุนแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H65 - 1Q66 3) ฝ่ายวิจัยฯคาด EBITDA เริ่มพลิกเป็นบวกแล้วในปีนี้ และคาดปีหน้า EBITDA ฟื้นสู่ระดับ + 2 พันล้านบาท (ระดบัก่อนวิกฤติโควิด-19)
SCB* (เป้าพื้นฐาน 152 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 105 บาท / แนวต้าน 108 - 113 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 120 บาท (Stop loss 103.5 บาท) 2) รายงานกำไร 3Q65 ตามคาด และเราคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (เป็นบวกต่อ NIM หรือ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย) 3) คาด Sentiment บวกจากการเตรียมปรับโครงสร้าง บ.ลูก ในเครือ โดยล่าสุดบริษัท CardX (บ.บัตรเครดิต) เตรียมโอนธุรกิจจาก SCB* ภายในเดือน ธ.ค.นี้ (คาดหวังการเตรียม Spinoff หุ้น บ.ลูกเข้าตลาดฯ) 4) PBV 0.8 เท่า ขณะที่คาด ROE ปี 2565 - 66 คาดทยอยฟื้นตัวเป็น 9% และ 9.5% ตามลำดับ