ไบเดนลุยกดดัน “ปูติน” ส่งทัพเสริม หลังผู้นำยูเครนร้องขอตะวันตกอย่าทำแตกตื่น!
ไบเดนลุยกดดัน “ปูติน” - วันที่ 29 ม.ค. เอเอฟพีและ บีบีซี รายงานสถานการณ์ความไม่สงบใน ประเทศยูเครน ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ยังเดินหน้ากดดัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ด้วยการประกาศว่าจะส่งกองกำลังไปยุโรปตะวันออก
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เพิ่งแถลงเรียกร้องผู้นำชาติตะวันตกว่าอย่าสร้างกระแสแตกตื่นจากกรณีเตือนว่ากองทัพรัสเซียเสริมกำลังทหารบริเวณชายแดน รวมถึงมีแนวโน้มว่าจะยกทัพรุกรานยูเครนในเดือนก.พ.นี้
รายงานระบุว่าประธานาธิบดีไบเดนแถลงว่าจะส่งกองทัพทหารอเมริกันขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนกองกำลังขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในยุโรปตะวันออก ท่ามกลางความตึงเครียดที่ยังเพิ่มสูงขึ้น
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (เพนตากอน) เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเน้นใช้การเจรจาทางการทูตเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และว่าตอนนี้รัสเซียมีกองกำลัง รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มากพอจะคุกคามยูเครนทั้งประเทศ
นายพลมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ กล่าวว่าความขัดแย้งใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นจะเลวร้ายอย่างยิ่งต่อทั้งสองฝ่าย หากรัสเซียโจมตียูเครนจะส่งผลให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ กล่าวระหว่างร่วมแถลงการณ์กับนายพลมิลลีย์ว่ายังหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้ แม้ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ยากจะหลบเลี่ยง แต่ยังมีเวลาและพื้นที่สำหรับการทูต “ประธานาธิบดีปูตินสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้เช่นกัน ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่สถานการณ์นี้จะต้องกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง” นายออสตินย้ำ
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวหลังหารือกับประธานาธิบดีปูตินว่า “มีสัญญาณจากผู้นำที่เคารพนับถือหลายประเทศ พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมีสงคราม นี่คือความตื่นตระหนก และประเทศของเราจะต้องจ่ายราคาให้กับความแตกตื่นเท่าไหร่ ความไม่มั่นคงของสถานการณ์ภายในประเทศเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อยูเครน” นายเซเลนสกีกล่าว
วันเดียวกัน รอยเตอร์ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ 3 คนเปิดเผยว่ากองทัพรัสเซียยกระดับตรึงกำลังประชิดยูเครน รวมทั้งมีการเตรียมเลือดสำหรับรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คาดการได้ว่ากองทัพรัสเซียอาจกำลังมุ่งหมายจะเปิดฉากโจมตียูเครน ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อกระแสข่าวดังกล่าว