รีเซต

KTC กำไร 1,803 ลบ. -3.67% ตั้งเป้าทั้งปี 67 กำไร 7,295 ลบ.

KTC กำไร 1,803 ลบ. -3.67% ตั้งเป้าทั้งปี 67 กำไร 7,295 ลบ.
ทันหุ้น
19 เมษายน 2567 ( 18:00 )
17
KTC กำไร 1,803 ลบ. -3.67% ตั้งเป้าทั้งปี 67 กำไร 7,295 ลบ.

#KTC #ทันหุ้น - บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ 1,803.00 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.70 บาท ลดลง 3.67% จากไตรมาส 1/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 1,871.71 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.73 บาท

 

KTC ชี้แจงว่า "ไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไรขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรและพอร์ตสินเชื่อขยายตัวในลักษณะชะลอตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจที่โตช้ากว่าที่คาดเคทีซียังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม"

 

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ("กลุ่มบริษัท") มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 1,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาส 4 ปี 2566 ที่มีจำนวน 1,761 ล้านบาท หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 ที่มีจำนวน 1,872 ล้านบาท ลดลง 3.7 % ขณะที่มีกำไรสุทธิเฉพาะกิจการของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เท่ากับ 1,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 1,843 ล้านบาท กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเติบโตที่ 11.7% (YoY) ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญได้รับคืน ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 20.49 (YoY) ตามการขยายตัวของปริมาณธุรกรรม รวมถึงมูลค่าการตัดหนี้สูญที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนกรอบเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น เพื่อให้พอร์ตสินเชื่อรวมภายหลังสิ้นสุดการใช้เกณฑ์ผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ NPL สะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น

 

ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 8.5% (YoY) มีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวมเท่ากับ 105,347 ล้านบาท ขยายตัวที่ 2.0% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตที่ 2.3% (YoY) และ 2.4% (YoY) ตามลำดับ โดยที่สินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน มียอดสินเชื่อใหม่จำนวน 611 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 82.6% (YoY) ขณะที่พอร์ตสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่าในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด ("KTBL") หดตัวที่ 9.6% (YoY) เนื่องจากหยุดปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามเคทีซียังคงเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อรวมพร้อมกับควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ไปด้วยกัน

 

เคทีซียังคงสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงที่ 434.7 % ขณะที่ อัตราส่วน NPL (*NPL) ของงบเฉพาะกิจการอยู่ 1.5% ลดจาก ณ สิ้นปีที่อยู่ที่ 1.7 สำหรับกลุ่มบริษัทมี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่เท่ากับ 353.8% และ NPL ของกลุ่มบริษัทยยู่ที่ 2.0% ลตลงจากสิ้นปีที่อยู่ 2.2% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 Credit Cost สูงขึ้นเป็น 6.4% (เดิม 5.3% ณ ไตรมาส 1 ปี 2566) เป็นผลจากการเปลี่ยนเกณฑ์ตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจนและจะยังคงมุ่งมั่นที่จะบริหารพอร์ตรวมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ในแนวทางการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

เป้าหมายปี 2567 กลุ่มบริษัทตั้งเป้ามูลค่ากำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าอัตราเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 15% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินมีมูลค่า 6,000 ล้านบาท แต่เนื่องด้วยปี 2567 นี้กลุ่มบริษัทมีการปรับกรอบระยะเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น จึงทำให้กลุ่มบริษัทปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อรวมที่เคยตั้งไว้ที่ 10% เป็นขยายตัวประมาณ 6% -7% กำหนดพอร์ตลูกหนี้ KIC PROUD ที่มีอายุ 0-90 วัน ขยายตัวที่ 5% และปรับลด %NPL จากไม่เกิน 2.2% เป็นไม่เกิน 2.0%

 

ในไตรมาส 1 ปี 2567 เป้าหมายส่วนใหญ่ยังไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนตัวลงมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่ากลยุทธ์การสร้างฐานลูกค้าบัตรเครติตในกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น การคัดกรองคุณภาพพอร์ตทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และการสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ในสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จะสามารถทำให้เคทีชีบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด

บล.กรุงศรีพัฒนสิน

บล.กรุงศรีพัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 27 มี.ค. มีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 1Q24F คาดที่ 1,800 ลบ. กำไรลดลง -4% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของคำใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากการตัดจำหน่ายลูกหนี้ (write-off) มากขึ้น ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +2% q-9 จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ตามปัจจัยฤดูกาล

 

สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น +7% y-y ลดลง -2%q-q คิดเป็น -2% YTD การลดลง YTD จากสินเชื่อบัตรเครดิต ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 2.25% เพิ่มจาก 4Q23 ที่ 2.19%

 

ภาพรวมเรามองว่า KTC ไม่น่าสนใจ เพราะ i) กำไรสุทธิปี 2024F คาดเติบโตเพียง +3% y-y ii) มีความเสี่ยงเรื่องกฎกณฑ์จากทาง ธปท. สำหรับเรื่องการแก้หนี้เรื้อรัง ทาง KTC ประเมินกรณีแย่สุด หากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยลดลงราว 18 ลบ.ต่อเดือน ซึ่งกระทบต่อประมาณการของเรา 2-3%

 

บล.บัวหลวง

บล.บัวหลวงออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ระบุว่า กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 มีแนวโน้มทรงตัว YoY และเพิ่มขึ้น QoQ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 ที่ 1.9 พันล้านบาท ทรงตัว YoY (การเติบโตของสินเชื่ออาจถูกกลบด้วยการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่เพิ่มขึ้น 6%QoQ (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล) เราคาดการเติบโตของสินเชื่อในไตรมาสนี้ที่ 8% YoY (ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล 1% QoQ)หนุนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มากขึ้น แต่การเติบโตของสินเชื่ออาจถูกกลบด้วย NIM ที่ลดลงและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เราคาด NIM ไตรมาส 1/67 ที่ 10.06% ลดลง 5bps YoY และ 34bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เราคาดอัตราการตั้งสำรองในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 5.60% เพิ่มขึ้น 33bps YoY แต่ลดลง 29bps QoQ

 

แนวโน้มการเติบโตของกำไรไตรมาส 2/67 ไม่น่าตื่นเต้น

บล.บัวหลวงคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1.8 พันล้านบาท ทรงตัว YOY (การเติบโตของสินเชื่อน่าจะถูกกลบด้วยการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 3% 00Q (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น) สำหรับปี 2567 เราคาดกำไรสุทธิที่ 8.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY หนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 13%YOY เราคาด GDP ของประเทศไทยจะโต 3.2% ในปี 2567 ซึ่งหนุนการใช้จ่ายผู้บริโภคและการเติบโตของสินเชื่อ KTC

เคทีซีเผยไตรมาส 1/2567 กลุ่มบริษัทสามารถทำกำไร 1,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาส 4/2566 สำหรับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและพอร์ตสินเชื่อเพิ่มขึ้นในลักษณะชะลอตัว ตามภาพรวมเศรษฐกิจที่โตช้ากว่าคาด เชื่อมั่นผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เดินหน้ากลยุทธ์การตลาด และมีเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งเน้นบริหารพอร์ตสินเชื่อรวมให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ตามแนวทางการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

 

นางพิทยา  วรปัญญาสกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคเติบโตแบบชะลอตัว ด้วยแรงกดดันจากความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม 2567 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังสะท้อนภาพรวมความเชื่อมั่นในเกณฑ์ดี โดยเคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรม ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 เท่ากับ 13.2% และ 6.1% ตามลำดับ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของเคทีซีเท่ากับ 12.4%”

 

“ภาพรวมการดำเนินงานของเคทีซีในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนตัวลงมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม เคทีซียังสามารถทำกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมได้เท่ากับ 1,803 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการ 1,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2566 เท่ากับ 2.4% และ 7.4% ตามลำดับ โดยเชื่อว่ากลยุทธ์การสร้างฐานลูกค้าบัตรเครดิตในกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น รวมทั้งการคัดกรองคุณภาพพอร์ตทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อีกทั้งมีการสื่อสารเชิงรุกถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในผลิตภัณฑ์สินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน จะสามารถทำให้เคทีซีบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด”

 

“เคทีซีได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ซึ่งมีผลในรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 นั้น ในช่วงไตรมาส 1/2567 พบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ของเคทีซีสามารถจ่ายชำระขั้นต่ำที่ 8% ได้ มีเพียงลูกหนี้ส่วนน้อยที่ประสบปัญหา นอกจากนี้ เคทีซีจะนำเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ยังไม่ด้อยคุณภาพ (non-NPL) ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน (Pre-emptive DR) ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณว่าลูกหนี้กำลังจะประสบปัญหาในการชำระหนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ ไม่กลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อีกทั้งจะเสนอแนวทางให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อย่างน้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะก่อนการดำเนินการตามกฎหมาย โอนขายหนี้ บอกเลิกสัญญา หรือยึดทรัพย์ โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ที่ สกช. 7/2566 เรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL)”

 

“เคทีซีเชื่อมั่นว่าการให้ความช่วยเหลือตามเกณฑ์ดังกล่าว จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ และสำหรับการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt: PD) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 คาดว่าหากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยลดลงประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน”

 

ทั้งนี้ สินทรัพย์เคทีซี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวสร้างรายได้เติบโตดี และมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดยมีฐานสมาชิกรวม 3,423,147 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 105,347 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.0%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 2.0% แบ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิต 2,695,453 บัตร (เพิ่มขึ้น 4.0%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,213 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.3%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมูลค่า 69,419 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8.5%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 727,694 บัญชี (ลดลง 2.6%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 33,149 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.4%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.1% และลูกหนี้ตามสัญญาเช่าในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) 2,985 ล้านบาท (ลดลง 9.6%) เนื่องจากได้หยุดปล่อยสินเชื่อใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 แล้ว ในส่วนยอดลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 611 ล้านบาท ขยายตัว 82.6%

 

ในส่วนของรายได้รวมช่วงไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 11.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 เท่ากับ 6,763 ล้านบาท ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยรวม (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) รายได้ค่าธรรมเนียม และหนี้สูญได้รับคืนที่เพิ่มขึ้น 5.4% 14.7% และ 26.7% ตามลำดับ ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 20.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 เท่ากับ 4,504 ล้านบาท ตามการขยายตัวของปริมาณธุรกรรม พอร์ตสินเชื่อรวม และการลงทุนพัฒนาระบบงาน รวมถึงมูลค่าการตัดหนี้สูญที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนกรอบเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น เพื่อให้พอร์ตสินเชื่อรวมหลังสิ้นสุดการใช้เกณฑ์ผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ NPL สะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร 2,369 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) 1,683 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงิน 451 ล้านบาท โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ 35.0% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 32.8%

 

นอกจากนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 59,344 ล้านบาท โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) และเงินกู้ยืมระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 23.3% ต่อ 76.7% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.83 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 2.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) 24,990 ล้านบาท

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง