เปิดหลักเกณฑ์ ใช้ตัดสินประเทศใดเข้าข่าย "บิดเบือนค่าเงิน"

วันนี้ (17ธ.ค.63) จากกรณีที่กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาเผยรายงานรอบครึ่งปีว่า ด้วยประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน โดยได้ขึ้นบัญชีสวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน พร้อมระบุว่า จนถึงเดือนมิถุนายนปี 2563 สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนามได้แทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา จนทำให้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของราคาเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ได้บิดเบือนค่าเงิน เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม

สำหรับหลักเกณฑ์ ที่สหรัฐฯ ใช้ตัดสินว่าประเทศใดเข้าข่ายบิดเบือนค่าเงิน ได้แก่ ประเทศนั้นต้องมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และ ธนาคารกลางของประเทศดังกล่าวได้เข้าแทรกแซงค่าเงินเกินกว่า 2% ของ GDP

ก่อนหน้านี้ หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 มีเพียงจีนที่อยู่ในรายชื่อบิดเบือนค่าเงินของสหรัฐฯ แต่รายงานในรอบล่าสุดจึงถือเป็นครั้งแรกในรอบนานกว่า 1 ปี ที่รัฐบาลวอชิงตันเพิ่มชื่อประเทศอื่นนอกจากจีน

นอกเหนือจากนี้ กระทรวงการค้าสหรัฐฯ ลดระดับจีนลงมาอยู่ในกลุ่ม "ต้องจับตา" พร้อมเพิ่มประเทศ ไทย, ไต้หวัน และอินเดีย ให้อยู่ในกลุ่มประเทศต้องจับตาด้วย ร่วมกับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิตาลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่อยู่ก่อนแล้ว

ด้านธนาคารแห่งชาติสวิส ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีนโยบายบิดเบือนมูลค่าของสกุลเงินฟรังก์สวิส แม้จะมีบางกรณีที่ธนาคารกลางต้องใช้นโยบายแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา แต่เป็นการดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น ไม่ได้มีเป้าประสงค์เพื่อทำลายความสมดุลของราคาเงินตราต่างประเทศ หรือเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน "อย่างไม่เป็นธรรม" ให้กับเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์

เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com 
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live 
twitter : TNNONLINE 
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE 
Instagram : TNN_ONLINE 
TIKTOK : @TNNONLINE