รีเซต

"จีน-สหรัฐฯ" เปิดศึกรอบใหม่ "เดินเรือระส่ำ "

"จีน-สหรัฐฯ" เปิดศึกรอบใหม่ "เดินเรือระส่ำ "
TNN ช่อง16
15 ตุลาคม 2568 ( 11:15 )
4

จีนและสหรัฐฯ เริ่มเดินหน้ามาตรการตอบโต้ครั้งใหม่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือจากเรือขนส่งสินค้าของอีกฝ่าย นับเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าจากที่อยู่ในภาวะเปราะบางอยู่แล้ว และเป็นการเปิดแนวรบใหม่ผ่านอุตสาหกรรมเดินเรือที่เดิมทีไม่มีใครเคยแตะ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่ขนส่งสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่น้ำมันดิบไปจนถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเพิ่มแรงกดดันเรื่องต้นทุนและการหยุดชะงักด้านการขนส่งในช่วงก่อนหน้าเทศกาลหยุดยาวปลายปีที่มีความสำคัญมากต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค

โดยทางการจีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมจากเรือขนส่งสินค้าที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าของ เป็นผู้ผลิต ดำเนินงาน หรือติดธงชาติสหรัฐฯ แต่ยกเว้นสำหรับเรือที่สร้างโดยจีนและเรือที่เข้าซ่อมแซมในอู่ ทางการจีนเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมในอัตรา 400 หยวนต่อระวางบรรทุก 1 ตัน มีผลเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) จากนั้นจะขยับขึ้นเป็น 640 หยวนต่อตันในวันที่ 17 เมษายน ปี 2569 ก่อนจะเพิ่มเป็น 880 หยวนต่อตัน ในวันที่ 17 เมษายน ปี 2570 และ 1,120 หยวนต่อตันในวันที่ 17 เมษายน ปี 2571

ความเคลื่อนไหวของจีนเป็นการตอบโต้มาตรการของสหรัฐฯ ที่ประกาศตั้งแต่ต้นปี ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากเรือขนส่งของจีน เพื่อลดอิทธิพลของจีนในอุตสาหกรรมต่อเรือและโลจิสติกส์ หลังผลการสอบสวนในยุคอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน สรุปว่าจีนใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมการเดินเรือ โดยสหรัฐฯ เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อวานนี้เช่นกัน ในอัตรา 50 ดอลลาร์ต่อระวางบรรทุกสินค้า 1 ตัน จากนั้นจะเพิ่มเป็น 80 ดอลลาร์ต่อตัน ในวันที่ 17 เมษายน ปี 2569 ก่อนขยับสู่ 110 ดอลลาร์ต่อตัน ในวันที่ 17 เมษายน ปี 2570 และ 140 ดอลลาร์ต่อตัน ในวันที่ 17 เมษายน ปี 2571

อุตสาหกรรมต่อเรือกลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น แต่การเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ไม่มากนัก เนื่องจากสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังจีนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การตอบโต้ของจีนแบบเท่าเทียมกันสะท้อนถึงความขัดแย้งทางการค้าที่รุนแรงขึ้นนับตั้งแต่สหรัฐฯ เปิดฉากสงครามภาษีเมื่อต้นปี และน่าจะกระทบต่อการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายก่อนจะครบกำหนดเส้นตายการระงับมาตรการภาษีที่ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ 

ข้อมูลจากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) ร่วมกับ S&P Global Sea-Web ประเมินว่า ในปี 2567 จีนครองส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมต่อเรือพาณิชย์ราวร้อยละ 53.3 ขณะที่สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น นอกจากนี้ มีบริษัทจีนเพียงแห่งเดียว คือ “ไชนา สเตต ชิปบิลดิง คอร์ปอเรชัน” (China State Shipbuilding Corporation-CSSC) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ ที่สร้างเรือขนส่งพาณิชย์เมื่อเทียบระวางการขนส่งในปี 2567 มากกว่าอุตสาหกรรมต่อเรือของสหรัฐฯ ทำได้ทั้งหมดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2

“คาเมรอน จอห์นสัน” หุ้นส่วนอาวุโสของ “ไทดอลเวฟ โซลูชันส์” (Tidalwave Solutions) บริษัทที่ปรึกษาด้านห่วงโซ่อุปทานในเซี่ยงไฮ้ มองว่า นี่เป็นการดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ เพราะมีเรือสหรัฐฯ จอดเทียบท่าในจีนน้อยกว่าร้อยละ 1 หมายความว่าสิ่งนี้แทบจะไม่มีผลกระทบใด ๆ เลย แต่นี่เป็นการส่งสัญญาณจากรัฐบาลจีนที่จะตอบโต้สหรัฐฯ ในทุกมาตรการที่มุ่งเป้าไปยังจีน หากสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทจีน จีนก็จะคว่ำบาตรบริษัทสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ กำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี จีนก็จะควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีเช่นกัน ซึ่งเป็นการยกระดับสงครามการค้าไปสู่จุดใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิด



ค่าธรรมเนียมท่าเรือของสหรัฐฯ และจีน มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก ผู้ผลิต และผู้บริโภค ในช่วงเวลาที่การค้าโลกกำลังถูกกดดันอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นน่าจะตรึงไว้ได้ไม่นาน และในที่สุดก็จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้จะยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางเรือ ซึ่งมีสัดส่วนการขนส่งสินค้ามากกว่าร้อยละ 80 ของการค้าทั้งโลก และกำลังเผชิญกับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อยู่แล้ว

การตอบโต้เรื่องค่าธรรมเนียมท่าเรือเกิดขึ้นในจังหวะที่ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตึงเครียดขึ้น หลังจากผู้นำสหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกร้อยละ 100 เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่เก็บในอัตราร้อยละ 30 ทำให้ภาษีรวมจะอยู่ที่ร้อยละ 130 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป รวมถึงการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญและอาจยกเลิกการหารือระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวหลังจากทางการจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากรอบใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

ขณะที่ทางการจีนออกมาประกาศจะสู้จนถึงที่สุดในสงครามการค้ารอบใหม่ และพร้อมใช้ทุกมาตรการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แต่ก็ยังพร้อมจะเจรจากับสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า สหรัฐฯ มี 2 มาตรฐาน เพราะสหรัฐฯ มีสินค้าอยู่ในบัญชีควบคุมมากกว่า 3,000 รายการ ขณะที่บัญชีควบคุมการส่งออกสินค้าของจีนครอบคลุมสินค้าประมาณ 900 รายการ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติมโดยมุ่งเป้าที่จีน แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะหารือกันหลายครั้ง รวมทั้งขยายขอบเขตเรื่องความมั่นคงแห่งชาติที่นำไปสู่มาตรการเลือกปฏิบัติต่อจีน และบังคับใช้มาตรการควบคุมสินค้าฝ่ายเดียวกับสินค้าหลากหลายประเภท รวมถึงอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และชิป

การปะทะกันอย่างดุเดือดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นก่อนการประชุมระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่มีกำหนดจะหารือกันในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกที่เกาหลีใต้ช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่ง “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่าการประชุมจะยังมีอยู่ตามกำหนดเดิม ขณะเดียวกันทั้ง 2 ประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนถึงเส้นตายการระงับมาตรการภาษีระหว่างกันในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มลดท่าทีแข็งกร้าวลง หลังการเผชิญหน้ากันส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก และปลุกความกังวลของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก 

ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า สถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ ทั้ง 2 ฝ่ายจะถอยออกจากนโยบายที่ก้าวร้าวเป็นการชั่วคราว และยอมใช้กระบวนการเจรจาที่จะนำไปสู่การขยายระยะเวลาการพักมาตรการภาษีแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมและสิงหาคม ซึ่งมีการพักรบมาตรการภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน

จีนและสหรัฐฯ กลับมามีท่าทีเผชิญหน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟันอีกครั้ง โดยมีประเด็นเรื่อง “แร่หายาก” (rare earth) เป็นแกนกลาง หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกผลิตภัณฑ์แร่หายากครั้งใหม่ โดยเพิ่มแร่หายาก 5 ชนิด ได้แก่ โฮลเมียม (holmium), เออร์เบียม (erbium), ทูเลียม (thulium), ยูโรเพียม (europium), อิตเทอร์เบียม (ytterbium) รวมถึงแม่เหล็กและวัสดุที่เกี่ยวข้อง เข้าไปในรายการควบคุมที่มีอยู่เดิม มีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศควบคุมไปแล้ว 7 ชนิด เมื่อเดือนเมษายน รวมทั้งจีนตรวจสอบผู้ใช้ชิปอย่างเข้มงวดมากขึ้น พร้อมให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานแร่หายากเกี่ยวกับการทหารในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งบ่อยครั้ง

ายใต้กฎระเบียบใหม่ของจีน การส่งออกแร่หายากไปต่างประเทศจะต้องยื่นขอใบอนุญาตส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีแร่หายากของจีน แม้ในปริมาณเล็กน้อย รวมถึงเทคโนโลยีบางอย่างที่ใช้ในการแปรรูปแร่หายากและการผลิตแม่เหล็ก มาตรการควบคุมเหล่านี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม นอกจากนี้ การส่งออกแร่ธาตุหายากสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับชิปคอมพิวเตอร์บางประเภท รวมถึงการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้ด้านการทหารจะได้รับการอนุมัติเป็นรายกรณี 

ทั้งนี้ จีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากทั่วโลก ข้อมูลจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ในปี 2566 จีนผลิตแร่หายากคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 61 ของทั้งโลก และแปรรูปในสัดส่วนร้อยละ 92 ของทั้งโลก ส่วนข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (USGS) ชี้ว่า ในระหว่างปี 2563-2566 สหรัฐฯ พึ่งพาจีนในการนำเข้าแร่และโลหะหายากมากถึงร้อยละ 70 ของการนำเข้าทั้งหมด 

นี่สะท้อนว่า จีนนำอิทธิพลเรื่องแร่หายากมาใช้เป็นอาวุธต่อกรกับสหรัฐฯ เพราะการหยุดชะงักของแร่หายากกำลังคุกคามกำลังการผลิตด้านกลาโหม ซึ่งเป็นเสาหลักของอำนาจระดับโลกของสหรัฐฯ หรือเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์ แร่หายากมีความสำคัญมากต่อกิจกรรมด้านการทหาร รวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ อาจกล่าวได้ว่า จีนสามารถอยู่โดยไม่มีชิปจากสหรัฐฯ ได้นานกว่าที่สหรัฐฯ จะอยู่ได้โดยไม่มีแร่หายากจากจีน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตัวเลขการค้าล่าสุดของจีนยังคงขยายตัวในภาพรวม ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีน ระบุว่า การส่งออกในเดือนกันยายนเมื่อวัดในรูปสกุลเงินดอลลาร์ อยู่ที่ 3.285 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นการเติบโตมากสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2567 

แต่การส่งออกและนำเข้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะขาลง โดยการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนลดลงร้อยละ 27 ส่วนการนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงในอัตราเลข 2 หลักในทุก ๆ เดือนเมื่อเทียบรายปี นับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.045 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนกันยายน ลดลงจาก 1.023 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม 

เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ จีนจึงได้ขยับขยายไปยังตลาดอื่น ๆ แทน โดยในเดือนกันยายน จีนส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกไปยังลาตินอเมริกาและแอฟริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และร้อยละ 56 ตามลำดับ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง