หอการค้า ฟันธง ศึกรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ทำน้ำมันราคาพุ่ง ลิตรละ 7.50 บาท
หอการค้า ฟันธง ศึกรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ทำน้ำมันราคาพุ่ง ลิตรละ 7.50 บาท ชงรัฐบาลต่ออายุตรึงดีเซล -คาดดัชนีบริโภคดิ่ง นักท่องเที่ยวรัสเซียหาย 2 แสนคน
วันที่ 3 มี.ค.65 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเฉพาะท่าทีของ NATO และการพิจารณารับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรระมัดระวังเรื่องการชำระเงิน และรับคำสั่งซื้อ ซึ่งอาจเกิดความล่าช้าในการชำระเงินมากกว่าปกติ แต่คาดว่าผู้ประกอบการไทยอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยกับทั้งรัสเซียและยูเครน มีปริมาณการค้าต่อกันไม่มาก ประมาณ 0.5% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย และ 0.9% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของไทย
รวมถึงอาจพิจารณาไปใช้ช่องทางอื่นในการรับชำระเงิน เช่น การชำระเงินผ่านระบบ SWIFT กับธนาคารในประเทศรัสเซียที่ไม่ถูก sanction การชำระเงินผ่านระบบ CIPS ของจีน หรือ การชำระเงินผ่านประเทศที่สาม โดยได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเตรียมรับมือแล้ว
โดยภาคเอกชนประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป กลุ่ม SME โดยเฉพาะเครื่องสำอางและอัญมณี ที่รัสเซียเป็นลูกค้ารายใหญ่และตลาดกำลังเติบโต รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย
“หอการค้าไทยคาดว่าสถานการณ์ยืดเยื้อแน่นอน ในระยะสั้นกระทบทางตรงไม่มากนัก แต่ผลทางอ้อมจะสำคัญต่อประเทศไทยเพราะราคาน้ำมันวันนี้ทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก เมื่อวานอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต้น ๆ ซึ่งมีโอกาสจะทะลุ 120ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย ประมาณ 5.0-7.5 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับปลายเดือนก.พ. ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแน่นอน ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะสินค้ามีราคาแพง ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ช่วยลดภาษี และตรึงราคาน้ำมันภายในประเทศในช่วงนี้ และอยากให้พิจารณามาตรการนี้ต่อหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ” นายสนั่น กล่าว
ด้านท่องเที่ยวคาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวรัสเซียอาจจะหายไป2.5 แสนคน จากเป้าหมาย5 แสนคน เพราะเดินทางไม่ได้ แต่หวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ในส่วนนี้
นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งโลก ข้าวสาลีและข้าวโพด จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะยูเครนเป็นประเทศที่ส่งออกใหญ่ของโลก จึงเสนอใฟ้ภาครัฐควบคุมราคาวัตถุดิบภายในประเทศ ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นโอกาสของธุรกิจมันสำปะหลังของไทย ที่จะเข้ามาทดแทนส่วนนี้ในอนาคต
นายสนั่น กล่าวว่า ผลกระทบระยะกลางและระยะยาว จะเกิดภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ จึงขอเสนอให้ภาครัฐเร่งเจรจาจัดทำ Transit Agreement กับประเทศจีน และให้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีของสหภาพยูเรเซีย เพื่อพิจารณาเป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่
นอกจากนั้น ยังคงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อและการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ทั้งนี้ ภาครัฐควรรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐด้วย