ตำรวจเสียชีวิต 1 หัวหน้าตำรวจรัฐสภาเร่งสืบสวน เหตุจลาจล พร้อม ประกาศลาออก
ตำรวจรัฐสภาบาดเจ็บกว่า 50 นาย ต่อมามีตำรวจสหรัฐฯ เสียชีวิตจาก เหตุจลาจล 1 นาย พร้อมกันนี้หัวหน้าตำรวจรัฐสภาเร่งสืบสวนเหตุจลาจล และ ประกาศลาออก
เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2564 สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของสหรัฐฯที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมจลาจล ณ รัฐสภาสหรัฐฯ ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิตแล้ว ในคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (7 ม.ค.64)
จากเหตุการณ์จลาจลในวันที่ 6 ม.ค.64 ทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บมากกว่า 50 นาย และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัส 1 นาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว มีชื่อว่า ไบรอัน ซิกนิก เขาเสียชีวิตเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากทำหน้าที่ควบคุมเหตุจลาจล ที่นำโดยผู้สนับสนุน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.64) ที่รัฐสภาสหรัฐฯ
“เจ้าหน้าที่ ไบรอัน ซิกนิก ได้ตอบโต้การจลาจลในวันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่รัฐสภาสหรัฐฯและได้รับบาดเจ็บขณะเข้าป้องกันรัฐสภาจากผู้ประท้วง โดยเจ้าหน้าที่ ไบรอัน เสียชีวิตเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา” ตำรวจกล่าวในแถลงการณ์
ทั้งนี้ สตีเวน ซันด์ หัวหน้าตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ประกาศลาออก หลังจากมีกระแสวิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุจลาจลจากประชาชนกลุ่มสนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยการลาออกของ สตีเวน ซันด์ จะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม นี้
ก่อนหน้านี้ สตีเวน ซันด์ ได้แถลงการณ์ เกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุจลาจล ที่เกิดขึ้นที่รัฐสภาสหรัฐฯ โดยเขาเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐสภา และตำรวจประจำรัฐสภา ถูกทำร้าย "อย่างจงใจ" ด้วยท่อโลหะและอาวุธหลากหลายรูปแบบ
ทั้งนี้ กรณีของหญิงที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐสภายิงนั้น เนื่องจากผู้ชุมนุมคนดังกล่าว พยายามจะบุกเข้าไปในพื้นที่ ที่สมาชิกสภาฯกำลังหลบภัยอยู่ โดยต่อมามีรายงานว่าหญิงคนดังกล่าวเสียชีวิตขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียง โดยเจ้าหน้าที่ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ จะถูกโยกย้ายออกจากหน่วยงานระหว่างที่มีการสอบสวนร่วมกันระหว่างตำรวจรัฐสภาและกรมตำรวจนครบาลแห่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ สตีเวน ซันด์ ยังระบุว่า ตำรวจรัฐสภาได้ทำการตรวจสอบเกี่ยวกับการพบ ระเบิดแสวงเครื่องและพาหนะต้องสงสัย บริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอาคารรัฐสภา โดยพบว่าวัตถุทั้งสองชนิดนั้นเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งหน่วยสืบสวนคดีอาญาแห่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) จะทำการสืบสวนเรื่องดังกล่าวต่อไป