เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดว่า SET Index จะแกว่ง Sideways ในรกอบ 1,265-1,280 จุด โดยระยะสั้นดัชนีตอบรับเชิงบวกต่อพัฒนาการเลือกการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งล่าสุดกกต.เคาะวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 26 อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคืนนี้ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ต.ค.-พ.ย. รวมถึงยอดค้าปลีก ทำให้ตลาดคาดว่าจะอยู่ในโหมด Wait and See เพื่อประเมินความแข็งแรงของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐฯว่ายังดีเช่นเดียวกับประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ Fed หรือไม่
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังเห็นการทยอยเกิด Sector Rotation ออกจากกลุ่ม Tech-AI เข้าหา Value Play อย่างต่อเนื่องในระยะสั้น ส่วนปัจจัยในประเทศวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมกนง.นัดสุดท้ายของปี ซึ่งประเมินว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลง 25 bps สู่ระดับ 1.25% เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายการคลังที่ทำได้จำกัดมากขึ้น คาดเป็นแรงหนุนหุ้น Domestic Play อย่าง ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อาหาร การแพทย์ อสังหาฯ เป็นต้น ซึ่ง Valuation อยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามคือการเลือกตั้งว่าจะมีการล่าช้าออกไปจากปัญหาสงครามไทย-กัมพูชาที่ยังตึงเครียดหรือไม่
กลยุทธ์ : เน้นกลุ่ม Domestic Play ที่โมเมนตัมกำไร 4Q25-1H26 ยังแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BDMS, BTG, CBG, MAGURO, WHAUP
FSSIA Portfolio : BA, BDMS, BTG, CBG, CENTEL, CPALL, KTB, MTC, WHAUP
หุ้นเด่นวันนี้ : OSP
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาท
• ประกาศร่วมมือกับพันธมิตรจีน Yunnan Baiyao (YNBY) เพื่อรับจ้างผลิตสินค้า และจัดจำหน่ายสินค้าให้กัน โดย 1) จะรับจ้างผลิตยาสีฟันแบรนด์ Yunnan Baiyao ภายใต้บริษัทย่อย Greensville ซึ่ง OSP ถือหุ้น 100% และมีโรงงานผลิต personal care อยู่ที่ลาดกระบัง 2) สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ YNBY จะเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า Babi Mild ภายใต้แบรนด์ Bei Miao An ในตลาดจีนให้กับ OSP
• YNBY มีจุดแข็งอยู่ที่เครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศจีน และเชี่ยวชาญใน E-Commerce ระหว่างประเทศด้วย ได้แก่ ยาสมุนไพรจีน, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ, อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น เรามองเป็นบวกต่อดีลนี้ หากไม่สำเร็จ มองว่าความเสียหายค่อนข้างจำกัด ในทางกลับกัน หากทำตลาดสำเร็จ จะเป็น upside ต่อการเติบโตในอนาคต
• แนวรับ 16-15.80//15 บาท แนวต้าน 16.70-17 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน แต่คาดว่าจะมีแรงซื้อพยุงตลาดไว้ได้ โดยดัชนีฯ ที่ระดับ 1273 จุด ถือว่าไม่สูงมาก มีโอกาสเกิด Technical Rebound แม้จะถูกกดดันจากปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้งและการประกาศรายชื่อหุ้นเข้าคำนวณดัชนีชุดใหม่ เป็นปัจจัยเฉพาะตัวที่ต้องติดตาม
ปัจจัยในประเทศ
- การเมืองไทยและการเลือกตั้ง: กกต. มีมติเห็นชอบกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปเป็นวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 69 โดยจะเปิดรับสมัคร สส. และแจ้งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ระหว่างวันที่ 27-31 ธ.ค. 68 ความชัดเจนของ Timeline การเลือกตั้งอาจช่วยลดความไม่แน่นอนทางการเมืองลงบ้าง แม้จะยังมีความกังวลเรื่องเสถียรภาพในช่วงเปลี่ยนผ่าน
- สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: สถานการณ์ยังคงมีความตึงเครียด ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนและกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ล่าสุดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (AMM) วาระพิเศษเพื่อหารือเรื่องนี้ถูกเลื่อนจากวันที่ 16 ธ.ค. ไปเป็นวันที่ 22 ธ.ค. ตามคำขอของฝ่ายไทย
- ค่าเงินบาทและการแทรกแซง: เงินบาทแข็งค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่ง ปิดที่ระดับ 31.43 บาท/ดอลลาร์ โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ล่าสุด ธปท. สั่งการให้สถาบันการเงินเข้มงวดตรวจสอบธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศของกลุ่มร้านทองเพื่อลดความผันผวน
- ประชุมกนง.: การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พรุ่งนี้ 17 ธ.ค. มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยตามผลการประชุม Fed เพื่อช่วยเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา พร้อมทั้งติดตามการหารือมาตรการเพื่อดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก ซึ่งมีผลกระทบกับผู้ส่งมากอย่าง
- ผลการคัดเลือกหลักทรัพย์ดัชนี SET50/SET100 (ม.ค.-มิ.ย. 69): ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศผลการคัดเลือกแล้ว มีผล 1 ม.ค. 69
- SET50: หลักทรัพย์เข้าใหม่คือ CENTEL, SAWAD ส่วนหลักทรัพย์ที่ออกคือ BCP, VGI
-SET100: หลักทรัพย์เข้าใหม่คือ GFPT, PTG, STECON ส่วนหลักทรัพย์ที่ออกคือ ITC, MBK, WHAUP
-SETESG: มีหลักทรัพย์เข้าใหม่ 20 บริษัท เช่น AAV, AEONTS, GFPT, PTG สะท้อนกระแสความยั่งยืน
- SET50: หลักทรัพย์เข้าใหม่คือ CENTEL, SAWAD ส่วนหลักทรัพย์ที่ออกคือ BCP, VGI
- Fund Flow/เงินบาท: วานนี้ (15 ธ.ค.) นักลงทุนต่างชาติ ในตลาดหุ้นไทย (SET+MAI) ซื้อสุทธิ 1,088.25 ล้านบาท, สำหรับข้อมูลในตลาดตราสารหนี้ ซื้อสุทธิ 3,563 ล้านบาท, ด้านค่าเงินบาทปิด ที่ระดับ 31.43 บาท/ดอลลาร์
ปัจจัยต่างประเทศ
- ประชุม BOJ : ตลาดกำลังรอดู ผลประชุม BOJ 19 ธ.ค.นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินครั้งสำคัญ เนื่องจากไปมีผลต่อค่าเงินดอลล่าร์ และ Fund Flow …. จากการสำรวจของ Bloomberg คาดการณ์ตรงกันว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้จาก 0.5% เป็น 0.75%
- เศรษฐกิจจีน: ยอดค้าปลีกของจีนเดือนพ.ย. เติบโตเพียง 1.3% YoY ซึ่งชะลอมากที่สุดตั้งแต่ ช่วงวิกฤตโควิด-19 บ่งชี้ว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแอ รวมถึงวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงยืดเยื้อ ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมือง งวดพ.ย. ลดลง 0.39% MoM จากตัวเลขที่ออกมา ดูเหมือนจีนไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยง บวกกับความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ที่เข้ามากดดัน
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET วันนี้ที่ 1,260 แนวต้าน 1,280 – 1,290 คาดได้แรงหนุนจาก กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันพุธนี้ กอปรกับ Timeine วันเลือกตั้งมีความชัดเจนในวันที่ 8 ก.พ. 69 แนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มที่ได้ประโยชน์ในช่วงเลือกตั้ง เช่น TKS, PLANB, VGI, CPALL, BJC, ADVANC, TRUE / กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น SAWAD, MTC, TIDLOR, GULF, DIF, CPNREIT / กลุ่มท่องเทียว AOT, BA, AAV, CENTEL, ERW
MTC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 52.75 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q68 ที่ 1.7 พันล้านบาท เติบโต +5%QoQ, +16%YoY หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมแม้ NIM ทรงตัว ขณะที่การค่าใช้จ่ายสำรองลดลง YoY และเพิ่ม QoQ ส่วนแนวโน้ม 4Q68 คาดยังคงมีปัจจัยหนุนจากยอดการจัดเก็บหนี้ที่ทำได้ดีส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไปยังปี 69 และการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง ทั้งนี้ปี 69 บริษัทยังสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายสินเชื่อโตในระดับ double digit เน้นสินเชื่อจำนำทะเบียน มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม 300-400 ขณะที่ credit cost มีแนวโน้มลดลงการค่าใช้จ่ายสำรอง ECL ส่วน NIM แนวโน้มน่าจะดีขึ้นจากการลดดอกเบี้ยนโยบายใน 2H68 ต่อเนื่องไปยังไป 69 ทั้งนี้อิงจาก consensus ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 68-69 ที่ 6.69 พันล้านบาท +14%YoY และ 7.67 พันล้านบาท +15%YoY
SHR(ซื้อ/ ราคาเป้าหมายBloomberg Consensus 2.25บาท)กำไรสุทธิ 3Q68 อยู่ที่ 129 ลบ.(จาก 3Q67 ขาดทุน 53 ลบ., +431%QoQ) หนุนด้วย 1.โรงแรมที่กลับมาเปิดหลังตกแต่งใหม่เสร็จสิ้น โดยเฉพาะโรงแรม ทราย ลากูน่า2.High Season ของโรงแรมใน UK และ 3.มาตรการ“เที่ยวไทยคนละครึ่ง”ด้านการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/68คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีได้ต่อ โดยนักท่องเที่ยวเข้ามัลดีฟส์ช่วง ต.ค.68 +10%YoY/ พ.ย.68 +13%YoY ขณะที่โรงแรมในไทยเข้าสู่ High Season และมีปัจจัยบวกจากม. ภาครัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดคาด Adj. Profit ปี 68 และ 69 ของ SHR ที่ 339 ลบ.(+111%YoY) และ 455 ลบ.(+34%YoY) ตามลำดับ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
