รีเซต

ย้อนคดี “เอปสตีน” ฉาวแรงถึง “ทรัมป์” ยอมกลับลำเปิดเอกสาร

ย้อนคดี “เอปสตีน” ฉาวแรงถึง “ทรัมป์” ยอมกลับลำเปิดเอกสาร
TNN ช่อง16
19 พฤศจิกายน 2568 ( 19:09 )
20

“เอปสตีน” คดีฉาวที่ตามหลอกหลอนรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เอกสารในคดีกว่า 2 หมื่นหน้าบอกเล่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นด้วยมือผู้ชายที่ชื่อ “เจฟฟรีย์ เอปสตีน” ชายผู้พลิกชีวิตตนเองจากการเป็นครูสู่การเป็น “พ่อค้าเซ็กส์ชื่อดัง” ที่มีอิทธิพลมหาศาลจนใครก็เอาผิดเขาไม่ได้ TNN World รวบรวมเรื่องราวของเขามาแล้ว…ชวนอ่านไล่เรียงไปด้วยกันเหมือนดูซีรีส์แบบ Episode


-Ep.1 ชีวิตที่เริ่มต้นจากการเป็น “ครู” 


เอปสตีน เป็นมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่เกิดและโตในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เส้นสายของเอปสตีนค่อนข้างกว้างขวางเขารู้จักคนหลายคนในหลากหลายวงการทั้งในแวดวงธุรกิจ วงการบันเทิงรวมไปถึงบุคคลสำคัญทางการเมืองของทั้งสหรัฐฯ และในต่างประเทศ แต่ถ้าย้อนไปดูชีวิตของเอปสตีนก่อนที่ภาพลักษณ์สุดฉาวแบบที่ได้ทราบกันทุกวันนี้ เอปสตีนเริ่มต้นเส้นทางอาชีพของเขาด้วยการเป็น “คุณครูสอนคณิตศาสตร์” ในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง Manhattan private school อยู่ช่วงสั้น ๆ แต่ดูเหมือนว่านักเรียนหลายคนที่เคยพบคุณครูเอปสตีนมองว่าเขามีพฤติกรรมบางอย่างที่ “ไม่ปกติ”


เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ เคยเผยแพร่รายงานว่าวันแรกที่เอปสตีนเข้ามาทำงานที่โรงเรียน เขาเลือกที่จะแหกกฎระเบียบในเรื่องการแต่งกายด้วยการใส่เสื้อเชิ้ตเปิดหน้าอกทับด้วยโค้ทขนสัตว์พร้อมกับมีเครื่องประดับเป็นโซ่สีทอง  เด็กนักเรียน 8 คนที่ศึกษาอยู่ในช่วงที่เอปสตีนสอนที่โรงเรียนแห่งนี้เปิดเผยกับ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ว่าเอปสตีนเคยเชิญเด็กนักเรียนหญิงไปร่วมงานปาร์ตีดื่มแอลกอฮอล์ และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักเรียนว่าคุณครูเอปสตีนมักจะให้ความสนใจกับเด็กสาวอย่างมากโดยเฉพาะเมื่อเขามีโอกาสที่จะหยุดสนทนากับพวกเธอตามโถงทางเดินและในห้องเรียนอย่างสม่ำเสมอ 


เอปสตีนเป็นครูอยู่ช่วงสั้น ๆ ก่อนจะย้ายเข้าสู่วงการธนาคารจนสามารถตั้งบริษัทของตัวเองได้ในปี 1982 ซึ่ง CNN เคยรายงานว่าบริษัทของเอปสตีนรับเฉพาะลูกค้าที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์เท่านั้นและภายในช่วงปี 1990 เอปสตีนก็สามารถสร้างคฤหาสน์หรูและอพาร์ตเมนต์ได้ในหลายประเทศ ซึ่งหากนับตั้งแต่ที่เขาก่อตั้งบริษัทของตนเองไปจนถึงวันที่เขากลายเป็นคนที่มีเส้นสายและเริ่มมีอิทธิพลก็นับเป็นเวลาเพียง 8 ปีเท่านั้น และเพราะแบบนี้จึงทำให้เอปสตีนได้ใกล้ชิดกับผู้มั่งคั่งและผู้ทรงอำนาจ รวมถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน

-Ep.2 เกาะส่วนตัว

ด้วยความร่ำรวยของเอปสตีน ก็คงไม่ยากนะที่เขาจะซื้อเกาะส่วนตัวในทะเลแคริบเบียนที่มีชื่อว่า “ลิตเติล เซนต์ เจมส์” (Little Saint James) และเกาะแห่งนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่เปิดปฏิบัติการค้ามนุษย์และค้าประเวณีอันอื้อฉาวของเอปสตีนในเวลาต่อมา จนบางคนถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อเกาะนี้เป็น “เกาะเอปสตีน”

เกาะ Little Saint James ของเอปสตีนเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ มีพื้นที่ 72 เอเคอร์ หรือคิดเป็นประมาณ 182 ไร่ ที่ประกอบด้วยวิลล่าหรูหลายหลัง เคยมีรายงานว่าเอปสตีนมักบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับรัฐบาลท้องถิ่นของหมู่เกาะเวอร์จิน รวมถึงการมอบเงินช่วยเหลือโรงเรียนที่ตั้งอยู่บนเกาะ ด้วยส่วนหนึ่งอาจเพราะความเป็นครูของเอปสตีนที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของเขา แต่แทนที่มหาเศรษฐีผู้ใจบุญจะกลายเป็นที่นับถือของผู้คนบนเกาะ หารู้ไม่ว่าชื่อเสียงของเอปสตีนกลับ “ไม่ดี” เท่าที่ควร เคยมีครั้งหนึ่งที่อัยการสูงสุดของหมู่เกาะเวอร์จินได้กล่าวเอาไว้ว่า ยิ่งกว่าความรู้ทั่วไปเสียอีกที่จะทราบว่า แท้ที่จริงนั้นเอปสตีนคือพ่อค้าประเวณี

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะ จากคำบอกเล่าของเด็กสาวที่ “ยังไม่บรรลุนิติภาวะ” ที่ถูกพามาที่เกาะส่วนตัวแห่งนี้ พวกเธอพูดเหมือนกันว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศในแบบที่ไม่ต่างกันมาก เริ่มตั้งแต่ที่เอปสตีนหว่านล้อมขอให้เด็กสาวเปลื้องผ้าก่อนจะมีการล่วงละเมิดทางเพศที่จบลงด้วยการจ่ายเงินเพื่อปิดปากรายแล้วรายเล่า แต่เรื่องราวอื้อฉาวของเอปสตีนไม่ได้จบแค่ที่เกาะ Little Saint James เพราะการค้าประเวณีของเอปสตีนยังเกิดขึ้นในเกาะข้างเคียงในเขตหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า St.Thomas ด้วย ที่สำคัญคนบนเกาะก็รับทราบเรื่องนี้แต่พวกเขาก็ทำอะไรเอปสตีนไม่ได้ 

คนงานบนเกาะผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศเล่าว่าเอปสตีนพาเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาที่เกาะอยู่เป็นประจำด้วยเครื่องบินส่วนตัวหลังจากแวะพักตามจุดหมายต่าง ๆ รอบโลกทั้ง ปารีส ลอนดอน สโลวาเกีย เม็กซิโก หรือแม้แต่โมร็อกโก แต่ในบางครั้งเด็กสาวที่เอปสตีนพามาก็สร้างความประหลาดใจให้กับคนงาน เพราะว่าสาวบางคนดูอายุน้อยเสียจนอาจจะไม่ถึง 16 ปีด้วยซ้ำ และพวกเธอก็มักจะมาพร้อมกับถุงช้อปปิ้งจากร้านแบรนด์หรูที่ไม่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้ 

-Ep.3 สัญญาณใกล้จุดจบกับชีวิตในคุก

ชีวิตของเอปสตีนดำเนินไปจนถึงในปี 2005 “สัญญาณแรก” ที่ทำให้เจ้าพ่อการเงินผู้อื้อฉาวคนนี้ใกล้ถึงจุดจบก็มาถึง เอปสตีนถูกจับกุมครั้งแรกหลังจากมีผู้ออกมาเปิดเผยว่าเอปสตีนจ่ายเงินจ้างเด็กสาวอายุ 14 ปีให้มาร่วมมีเพศสัมพันธ์ด้วย จากนั้นก็มีเหยื่ออีกหลายคนที่เริ่มปรากฏตัวออกมา จนในที่สุดปี 2008 เอปสตีนก็ยอมรับสารภาพความผิดเฉพาะข้อหาที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อเพียงคนเดียวและถูกจำคุกเป็นเวลา 13 เดือน แต่เป็นการจำคุกแบบ Jail work-release program หรือ การให้นักโทษทำงานในเวลากลางวันแล้วไปจำคุกในเวลากลางคืน 

13 เดือนผ่านไปเอปสตีนออกมาจากคุกโดยไม่รู้สึกผิดต่อสิ่งที่กระทำลงไป เขายังกลับไปทำธุรกิจค้าเซ็กส์เหมือนเดิมและด้วยอิทธิพลลมหาศาลในตอนนี้ไม่ใช่แค่คนงานบนเกาะส่วนตัวที่ไม่กล้ายุ่งกับเขา แต่มันลุกลามไปถึงการที่เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายก็ไม่กล้าแม้แต่จะดำเนินคดีกับเอปสตีนด้วยเช่นกัน 

จนกระทั่งชีวิตติดลูปค้าเซ็กส์ของเอปสตีนดำเนินมาถึงวันที่ 6 กรกฎาคม ปี 2019 เขาถูกจับกุมครั้งที่ 2 หลังจากเจ้าหน้าที่บุกค้นคฤหาสน์หรูและพบหลักฐานเป็นรูปภาพเปลือยของเด็กจำนวนมาก ครั้งนี้อิทธิพลของเอปสตีนไม่ใช่ตัวช่วยของเขาอีกต่อไป หลักฐานที่พบมีน้ำหนักมากพอที่จะเอาผิดเอปสตีนด้วยโทษที่รุนแรงขึ้น หลักฐานได้มัดตัวเขาติดกับคุกได้อยู่หมัดจนดิ้นไม่หลุดและท้ายที่สุดเขาก็ยอมจำนนและเข้าสู่กระบวนการลงโทษตามกฎหมายอีกครั้ง 

เอปสตีนจากภาพมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตอยู่หรูหรา แวดล้อมไปด้วยคนดังมากมาย ในเวลานี้ เขากลายเป็นเพียงนักโทษคดีฉาวที่ถูกตั้งข้อหาค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ชีวิตในคุกของเอปสตีนไม่ได้ราบรื่นนัก เขาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อเสียงที่ดังกึกก้องของคุกจนทำให้เขาเกิดอาการนอนไม่หลับในช่วงแรก รวมไปถึงเขายังมีปัญหากับการใช้ห้องน้ำในเรือนจำ ไม่เพียงเท่านี้ ชีวิตที่ถูกจำกัดในคุกทำให้เอปสตีนพยายามที่จบชีวิตตนเองหลายครั้งแต่เขาก็รอดมาได้และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังการปลิดชีพตนเอง รวมถึงได้รับการตรวจอาการทางจิตที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีบันทึกจากเจ้าหน้าที่เรือนจำด้วยว่าเอปสตีนมักนั่งอยู่ที่มุมเตียง จมปลักอยู่กับความคิดและนั่งก้มหน้าเอาหน้าผากชนกับกำแพง เอปสตีน ยังเคยบอกกับเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าเขาคิดว่าเขาถูกเพื่อนร่วมห้องขังทำร้ายและพยายามจะเอาชีวิตเขา ซึ่งเพื่อนร่วมห้องขังที่เอปสตีนถูกฝากขังไว้นั้นเป็นผู้รอดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม 4 ศพ นั่นจึงทำให้คุกไม่ได้ต่างอะไรไปจากนรกของเอปสตีน 

แต่ชีวิตในคุกและการจับกุมครั้งนี้ที่เอปสตีนเผชิญมันคือ “ครั้งสุดท้าย” ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การถูกจับแต่มันยังหมายถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเอปสตีนด้วย

-Ep.4 จุดจบของเอปสตีน

10 สิงหาคม 2019 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เอปสตีนใช้ผ้าปูเตียงผูกคอตัวเองจนเสียชีวิตในห้องขังกลายเป็นข่าวใหญ่ของเช้าวันนั้นทันที และทำให้หลายสื่อพยายามตั้งข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้วเอปสตีนพยายามจบชีวิตตัวเองหรือมีคนฆ่าปิดปากเขากันแน่

แต่บางทฤษฎีสมคบคิดก็เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วนักโทษที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กมักจะเป็นที่ “รังเกียจ” ของเพื่อนร่วมห้องขังและในหมู่นักโทษ ซึ่งมีความเสี่ยงที่นักโทษเหล่านั้นจะถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้จะมองว่าเอปสตีนใช้โอกาสชิงปลิดชีพตัวเองไปเสียก่อน เมื่อเอปสตีนเสียชีวิต ทางฝั่งของ “กิซเลน แมกซ์เวลล์” อดีตแฟนสาวของเอปสตีนก็ถูกตั้งข้อหาช่วยสรรหาเหยื่อที่เป็นผู้เยาว์และถูกจำคุกเป็นเวลานาน 20 ปี


มีรายงานว่าคืนก่อนที่เอปสตีนจะเสียชีวิตในคุก เขาถอนตัวจากการพบกับทนายเพื่อที่จะไปโทรศัพท์คุยกับครอบครัวของเขา โดยข้อมูลอ้างอิงจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่เรือนจำเอปสตีนที่บอกกับผู้คุมว่าเขากำลังจะโทรศัพท์หาแม่ของเขา แต่ที่น่าแปลกใจคือแม่ของเอปสตีนได้เสียชีวิตไปนานกว่า 15 ปี แล้ว 


-EP.5 “ทรัมป์” และ “เอปสตีน”

ทำไมข่าววฉาวของเอปสตีนถึงเกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนเรียกได้ว่าตามหลอกหลอนรัฐบาลของเขาเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ปรากฏขึ้นมาอย่างน้อย 1,500 ครั้ง ในเอกสารจากกองมรดกของเจฟฟรีย์ เอปสตีน และเพราะพวกเขารู้จักกันมานานนี่เองที่ทำให้หลายคนตั้งข้อสันนิฐาน…หรือว่าทรัมป์จะรับทราบและเกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้าประเวณีสุดฉาวของเอปสตีนด้วย ?

รวมถึงก่อนหน้านี้ที่เคยมีการเผยแพร่สมุดอวยพรวันเกิดเอปสตีน ที่มีลายเซ็นของทรัมป์ พร้อมภาพนู้ดแบบซิลลูเอท (Silhouette) ของหญิงสาวและข้อความว่า...

“Happy Birthday - and may every day be another wonderful secret" หรือแปลได้ว่า “สุขสันต์วันเกิด และขอให้ทุกวันเป็นความลับที่มหัศจรรย์อีกวันหนึ่ง

แต่ประเด็นนี้ทำเนียบขาวปฏิเสธและชี้ว่าลายเซ็นของทรัมป์ไม่ตรงกับของจริง อีกทั้งทรัมป์ก็ย้ำว่าภาพที่ถ่ายด้วยกันในวันเกิดเกิดขึ้นเมื่อปี 2003 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่เอปสตีนจะโดนตั้งข้อหาในปี 2008 เสียอีก และจากที่กล่าวไปในตอนแรกว่าทรัมป์และเอปสตีนรู้จักกันมาตั้งแต่ที่เอปสตีนเริ่มก่อตั้งบริษัทของตัวเองและเข้าสู่วงการที่แวดล้อมไปด้วยผู้มั่งคั่งและผู้มีอิทธิพล ทรัมป์ยังเคยกล่าวกับ New York Magazine เมื่อปี 2002 ถึงเอปสตีนว่าพวกเขารู้จักกันมานานกว่า 15 ปี เอปสตีนเป็นคนที่ดีและเป็นคนสนุกสนานแต่ประโยคที่ทำให้หลายคนยิ่งสงสัยคือทรัมป์บอกว่า 

“เอปสตีนชอบสาวสวยเหมือนกับตัวเขาและสาวส่วนมากก็อายุน้อยเสียด้วย”

จากประโยคนี้เองยังทำให้หลายคนมองว่าทั้งทรัมป์และเพื่อนรอบข้างของเอปสตีนต่างรู้ดีว่าเขาชอบมีพฤติกรรมทางเพศกับสาวอายุน้อย หรือที่รู้จักว่าคือ “เปโดฟิเลีย” ผู้ซึ่งมีพฤติกรรมใคร่เด็ก ทั้งจากคำพูดของเขาและชื่อที่ปรากฎบนเอกสาร จึงเกิดเป็นคำถามถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างทรัมป์และเอปสตีน จนนำมาสู่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์ที่เขายอมกลับลำ ให้มีการเปิดแฟ้มคดีเอปสตีนหลังถูกกล่าวหาว่าเข้าไปพัวพันด้วย และสภาคองเกรสก็ได้ลงมติเห็นชอบที่จะเปิดเผยเอกสารในคดีของเอปสตีนแล้วเช่นกัน 

ท้ายที่สุดแล้ว คดีเอปสตีนไม่ใช่เพียงการเปิดโปงอาชญากรรมแต่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ของระบบกฎหมายและอิทธิพลของอำนาจที่สามารถบิดเบือนความยุติธรรมได้ แม้เอปสตีนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เครือข่าย ความจริง และคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบยังคงตามหลอกหลอนมาจนถึงปัจจุบัน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวฉาวของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง แต่คือบทเรียนว่าความยุติธรรมแท้จริงแล้วควรเป็นของทุกคนไม่ว่าคุณจะมีอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง