"ว้าแดง" ใน "สายตาทักษิณ 5.0" วิเคราะห์เส้นทางใหม่ปราบยาเสพติด

ทักษิณกลับมาแล้ว นำทีมรัฐบาลประกาศสงครามกับ "ว้าแดง"
บรรยากาศในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ช่วงบ่ายวันที่ 27 พฤษภาคม เป็นไปอย่างคึกคัก เมื่อทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาประธานอาเซียนปัจจุบัน เดินเข้าสู่หอประชุมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านการปราบปรามยาเสพติดครั้งแรกหลังกลับประเทศ
การปรากฏตัวครั้งนี้มีนัยสำคัญ ไม่เพียงแค่การกลับมาของบุคคลสำคัญทางการเมือง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความมั่นคงของรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องการเดินทางออกนอกประเทศก่อนศาลฎีกานัดไต่สวนคดี
คณะรัฐมนตรีหลักร่วมรับฟังวิสัยทัศน์อดีตผู้นำ
การประชุมครั้งนี้มีความโดดเด่นด้วยการเข้าร่วมของคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงอย่างครบครัน ประกอบด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
การเข้าร่วมของผู้บริหารระดับนโยบายครบองค์ประกอบแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของรัฐบาลต่อวาระปราบปรามยาเสพติด และความเปิดใจในการศึกษาแนวทางจากประสบการณ์ในอดีต ทั้งนี้ แม้ว่านโยบายปราบปรามยาเสพติดของทักษิณในปี 2546 เคยเป็นที่ถกเถียงอย่างรุนแรงทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบุคคลที่ถูกสงสัยจำนวนมาก
ชี้เป้าชัด "ว้าแดง" คือศูนย์กลางของปัญหา
ทักษิณ เปิดการบรรยายด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา ชี้ว่าสมัยก่อนพ่อค้ารายใหญ่อยู่ในประเทศไทย การผลิตอยู่ต่างประเทศครึ่งหนึ่ง ไทยครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้การผลิตแทบจะ 100% อยู่ที่ ว้าแดง รัฐฉาน ประเทศเมียนมา
"รู้จุดแล้วแปลว่าเฉยไม่ได้" อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างเด็ดขาด "พ่อค้ารายใหญ่หลบหนีไปอยู่ข้างบ้านหมด แต่ก็ยังมีเครือข่ายในประเทศไทย เจ้าหน้าที่แกล้งไม่รู้เรื่องหรือไม่อยากรู้เรื่อง"
การวิเคราะห์ดังกล่าว มีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อพิจารณาสถิติการจับกุมที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักงานตำรวงแห่งชาติในช่วงตุลาคม 2567 ถึงมีนาคม 2568 เพียง 6 เดือน แสดงให้เห็นขนาดของปัญหา ด้วยการจับกุมคดียาเสพติด 103,239 คดี ผู้ต้องหา 136,513 คน พร้อมยึดยาบ้าได้มากกว่า 510 ล้านเม็ด ไอซ์ 7,854 กิโลกรัม และเคตามีน 3,390 กิโลกรัม
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การค้ายาเสพติดในระยะสองทศวรรษที่ผ่านมา และความจำเป็นที่ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่
ประกาศสงครามระดับชาติ ไม่มีความปราณีกับศัตรู
จุดเปลี่ยนสำคัญของการบรรยายครั้งนี้คือการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดในพื้นที่ว้าแดง ทักษิณประกาศว่าใน 1-2 เดือนข้างหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะต้องไปพบปะกับเพื่อนบ้านทั้งหมด เพื่อผนึกกำลังกันให้ว้าแดงเลิกผลิตยาเสพติด
"ถ้าคุณยังผลิต คุณคือศัตรูของประเทศไทย เราไม่ควรมีความปราณีกับศัตรู" คำประกาศนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากการแก้ปัญหาเชิงรับสู่การรุกอย่างจริงจัง
ที่ปรึกษาประธานอาเซียนยังเสนอมาตรการที่รุนแรงมากขึ้น เช่น การตัดไฟฟ้าและระบบสื่อสารจากไทยที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด พร้อมกับการจัดการเรื่องแหล่งผลิตด้วยวิธีที่สากลรับได้หากประเทศเพื่อนบ้านจัดการไม่ได้
ดึงงบดิจิทัลวอลเล็ตมาแก้ปัญหา เชื่อประชาชนไม่โกรธ
ข้อเสนอที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้จัดการปัญหายาเสพติด ทักษิณมั่นใจว่าหากสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เด็ดขาดภายในสิ้นปี 2568 ประชาชนจะไม่โกรธเรื่องการเลื่อนดิจิทัลวอลเล็ตออกไป
การเสนอดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่ชัดเจน และความเข้าใจในจิตใจประชาชนที่เดือดร้อนจากปัญหายาเสพติดมากกว่าการรอรับเงินดิจิทัลวอลเล็ต
พร้อมกันนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีเสนอให้ตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติดทุกอำเภอ หรือในอำเภอที่มีความสมัครใจ เพื่อให้การแก้ปัญหาครอบคลุมทั้งการปราบปรามและการบำบัดรักษา
เน้นบูรณาการ ห้ามทำงานแบบ "ไฟไหม้ฟาง"
หนึ่งในข้อสังเกตสำคัญจากการบรรยายคือการเน้นย้ำเรื่องการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ทักษิณชี้ว่าปัจจุบันมีหน่วยงานที่จัดการยาเสพติด 29 หน่วย แต่ต่างคนต่างทำงานไปเรื่อยๆ ไม่สำเร็จเพราะขาดการบูรณาการที่มีทิศทางชัดเจน
ที่ปรึกษาประธานอาเซียนเน้นว่าตำรวจและปกครองจะต้องเป็น "ปาท่องโก๋" ต้องไปด้วยกัน จับมือกัน ต้องรักกัน ตั้งแต่ระดับผู้การกับผู้ว่า นายอำเภอกับผู้กำกับ ปลัดอำเภอกับสารวัตร
"อย่าให้พ่อค้ายาที่ทุกคนรู้หมดในชุมชนเหล่านั้น อย่าให้มันอยู่ในหมู่บ้าน ให้ไปอยู่ที่อื่น ต้องจับกุมไปอยู่ในเรือนจำ" ทักษิณกล่าวอย่างเด็ดขาด
เสนอตัวเป็น "คนขี้ฟ้อง" ตรวจสอบพื้นที่
ที่น่าสนใจที่สุดคือข้อเสนอของทักษิณที่จะเป็น "อาสานายกอิ๊งค์" ไปเยี่ยมชาวบ้านในต่างจังหวัด เดินดูแต่ละชุมชนว่าหมู่บ้านไหนมีเรื่องยาเสพติด แล้วจะมารายงานรัฐมนตรีมหาดไทยว่าพ่อค้ายาอยู่สบายมากเลย ทรัพย์ก็ไม่โดนยึด
ข้อสังเกตเรื่องการยึดทรัพย์นี้มีน้ำหนักเมื่อดูจากสถิติที่แท้จริง แม้ในปีงบประมาณ 2567 หน่วยงานต่างๆ สามารถยึดทรัพย์สินเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดได้รวมกว่า 13,000 ล้านบาท และเฉพาะตำรวจปราบปรามยาเสพติดเพียงหน่วยเดียวก็ยึดได้มากกว่า 9,000 ล้านบาทใน 9 เดือนแรก แต่อดีตนายกรัฐมนตรีมองว่ายังไม่เพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของเครือข่าย
"ตนว่าจะเป็นคนขี้ฟ้องหน่อย เดินไปเล่นๆ และฟ้องไปเรื่อยๆ" อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ท่ามกลางบรรยากาศที่ผู้เข้าร่วมประชุมหัวเราะอย่างเข้าใจ
การตอบรับของรัฐบาลและหน่วยงาน
พลตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงภายหลังว่าการเชิญทักษิณมาบรรยายเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ไม่ใช่การฟื้นนโยบาย "ฆ่าตัดตอน" แบบในอดีต และไม่มีวาระทางการเมือง
รัฐบาลชุดปัจจุบันยืนยันว่าจะเน้นการใช้หลักนิติธรรม ปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด และให้ความสำคัญกับการยึดทรัพย์สินของผู้ค้ายาเสพติด โดยไม่กลับไปใช้วิธีการรุนแรงแบบเดิม
ระบบรางวัลและการจูงใจ
ทักษิณเสนอระบบรางวัลและการจูงใจหลายรูปแบบ เช่น ค่านำจับ และระบบรางวัลสำหรับพื้นที่ที่สามารถทำให้ "สีขาว" ปลอดยาเสพติดได้ อำเภอไหนปลอดยาเสพติดให้ประกาศเลย แล้วให้รางวัลไปเลย
อดีตนายกรัฐมนตรียังเสนอให้กระทรวงมหาดไทยและตำรวจมีระบบที่จูงใจ ใครทำพื้นที่สีขาวมีรางวัลมีโปรโมชั่น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างจริงจัง
----
แม้จะไม่กล่าวถึงรายละเอียดนโยบายในอดีตโดยตรง แต่ทักษิณยังคงมั่นใจในหลักการพื้นฐานที่เคยใช้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาจากทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน หมายถึงการลดความต้องการยาเสพติดในสังคมไปพร้อมกับการตัดแหล่งจำหน่าย
อดีตนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำการป้องกันระยะยาวผ่านการศึกษา โดยเสนอให้เริ่มสร้างความตระหนักแก่เด็กตั้งแต่ระดับอนุบาล ทักษิณยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่สามารถปลูกฝังนิสัยรักษาความสะอาดให้เด็กๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังแน่นในสังคม แสดงให้เห็นว่าการศึกษาในวัยเด็กสามารถสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืนได้
มุมมองต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
ทักษิณ มองว่าปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามต่อเยาวชนและอนาคตของประเทศ "เด็กไทยโตขึ้นมาก็จะสู้เขาไม่ได้ ทั้งระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ลูกหลานเรียนได้ไม่เต็มที่ หรือเทคโนโลยีที่ตามเขาไม่ทัน แต่ที่หนักสุดคือยาเสพติด"
สถิติการบำบัดรักษาในช่วง 97 วันแรกของปีงบประมาณ 2568 ชี้ให้เห็นถึงขนาดของปัญหา เมื่อมีผู้เข้ารับการบำบัดรักษา 25,984 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้เสพที่มีอาการทางจิต 3,951 ราย แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของยาเสพติดรุ่นใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้เสพ
อดีตนายกรัฐมนตรี เน้นว่า ถ้าวันนี้ไม่ทำให้ประชาชนเข้มแข็ง ไทยจะแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ และอยากให้ทุกคนตระหนักว่ายาเสพติดคือปัญหาของชาติที่ต้องช่วยกัน
ข้อมูลจากพื้นที่นำร่อง 25 จังหวัดในช่วงมิถุนายน-สิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จเบื้องต้น เมื่อสามารถดำเนินการคดีความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดได้ 19,698 คดี เกินเป้าหมาย 180.32% และตรวจสอบทรัพย์สินได้ 1,1016.14 ล้านบาท เกินเป้าหมาย 153.12%
การกลับมาที่มีนัยสำคัญ
การบรรยายของทักษิณครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ด้านการปราบปรามยาเสพติด แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนถึงบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน
แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการรุนแรงแบบในอดีต แต่การรับฟังประสบการณ์และแนวคิดของทักษิณแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
สิ่งที่ชัดเจนคือรัฐบาลปัจจุบันตั้งใจที่จะใช้ทั้งประสบการณ์เก่าและแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน การมีเป้าหมายที่ชัดเจน และการทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบ "ไฟไหม้ฟาง" อีกต่อไป