รีเซต

"น้ำท่วมใต้" กระแทกเศรษฐกิจไทยส่งท้ายปี ตัวเลขเสียหายไหลไม่หยุด พุ่งกว่าหมื่นล้านบาท

"น้ำท่วมใต้" กระแทกเศรษฐกิจไทยส่งท้ายปี ตัวเลขเสียหายไหลไม่หยุด พุ่งกว่าหมื่นล้านบาท
TNN ช่อง16
1 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )

"น้ำท่วมภาคใต้" หนักที่สุดในรอบ 25 ปี โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่ต้องเจอกับฝน 300 ปี คาดกระทบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท ฉุดการเติบโตส่งท้ายปี  


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมครั้งร้ายแรงสุดที่จังหวัดสงขลา และในอีกหลายจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ปัตตานี ตรัง สตูล ยะลา ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมแล้วราว 8 แสนครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ โดยประเมินผลกระทบออกเป็น 2 ส่วน คือ


ส่วนที่ 1 ผลกระทบทันทีจากการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งพอจะประมาณได้


ส่วนที่ 2 จากความเสียหายต่อสินทรัพย์ ซึ่งซับซ้อนกว่า เพราะความเสียหายอาจทยอยรับรู้ในอนาคตโดยหลายภาคส่วน นอกเหนือไปจากครัวเรือน เช่น รัฐบาล สถาบันการเงิน คู่ค้า ฯลฯ


สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเบื้องต้น อาจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาทในกรอบเวลา 1 เดือน หรือราว 0.13% ของขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP) บนสมมติฐานเหตุการณ์รุนแรงในช่วง 10-15 วันแรก และความรุนแรงทยอยลดระดับลงในอีก 10-15 วันถัดมา โดยผลกระทบหลักอยู่ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งช่วงแรกประสบภัยในแทบทุกพื้นที่


ทั้งนี้ความเสียหายหลัก ๆ จะมาจากการหยุดชะงักลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ (สถานที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง เป็นต้น) และการผลิตอุตสาหกรรม (เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป) ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 56% และ 18% ตามลำดับในจังหวัดสงขลา รวมไปถึงการหยุดให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง ไฟฟ้า และประปา (สัดส่วนกว่า 3%)


นอกจากนี้ภัยพิบัติครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาปลายปี ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมักจะมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากตามเป็นฤดูกาลของการท่องเที่ยว อีกทั้งอยู่ในช่วงที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพงานกีฬาซีเกมส์ 9-20 ธันวาคม 2568 ด้วย และจังหวัดสงขลา ก็เป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันหลายประเภทกีฬา นอกจากนี้ ความเสียหายส่วนที่เหลือของสงขลา และในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ผลกระทบจะเป็นภาคเกษตร ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน รวมถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำ หรือประมง


รวมไปถึงสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลาย  หรือน้ำลดไปแล้ว ความเสียหายก็ตามมาอีกหลายด้าน ผู้ประสบภัยจะได้รับผลกระทบจากการจัดการความเสียหายของสินทรัพย์เพิ่มเติม เช่น อาคาร รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการรับรู้ผลกระทบในส่วนที่สองนี้ ทั้งการซ่อมแซม/ฟื้นฟู/ซื้อใหม่ คงจะทยอยใช้เวลา และยังต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเงินออม และความสามารถในการหารายได้ของแต่ละครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้ และคู่ค้าต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ตลอดจนมาตรการจากภาครัฐ


สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ระบุว่าหากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบจากอุทกภัย 


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าจะมีความเสียหายประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อิงกับเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนของภาคใต้เป็นหลัก แต่ถ้าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องใน 1 เดือน จะมีความเสียหายประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของภาคการท่องเที่ยวและจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวภาคใต้จำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว


การช่วยเหลือเฉพาะหน้าในช่วงที่ผ่านมาสำคัญอย่างยิ่ง แต่หลังจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ การเยียวยา และฟื้นฟู 


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากนี้เมื่อน้ำลดลงแล้วจะเร่งเตรียมจัดถุงยังชีพในพื้นที่แจกจ่าย ทั้งประชาชน ครัวเรือนรายย่อย และผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตและทำธุรกิจได้เร็วที่สุด รวมไปถึงเตรียมจัดงานธงฟ้าหลังน้ำลด โดยเน้นสินค้าจำเป็นในการทำความสะอาดบ้านเรือนและสถานประกอบการ รวมถึงสินค้าอุปโภค–บริโภคราคาประหยัด เพื่อลดภาระค่าครองชีพในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นฟู 


เช่นเดียวกับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีโรงงานถูกน้ำท่วม และผู้ประกอบการได้รับผลกระทบหนัก นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าจะมีการเร่งเยียวยาผู้ประกอบการ โดยจัดทีมช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อฟื้นฟูโรงงาน เข้าประเมินสภาพปัญหาและให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ และการบริการช่วยเหลือประชาชน เช่น ซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยานพาหนะ และซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า  


พร้อมด้วยยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้เงินต้น และปรับโครงสร้างหนี้


ขณะที่ภาคการเกษตรซึ่งเป็นพื้นที่ที่รับผลกระทบเป็นวงกว้างมากที่สุด ข้อมูลจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ระบุว่าน้ำท่วมภาคใต้ส่งผลให้มีพื้นที่สวนยางเสียหายกว่า 1 ล้านไร่ ใน 9 จังหวัด ผลผลิตยางเสียหายรวมกว่า 147 ล้านบาท  และเมื่อน้ำลดกลับสู่ภาวะปกติ จะเร่งเข้าตรวจสอบและจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนายางพารา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง รายละไม่เกิน 3,000 บาท และจะมีเงินให้กู้ยืมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หรือเป็นทุนในการประกอบอาชีพอีกรายละไม่เกิน 50,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกิน 3 ปี อีกด้วย


ด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. โดยทางนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการททท. เผยว่าได้เร่งสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ไปยังเครือข่ายการท่องเที่ยวต่างๆ ตั้งแต่บริษัททัวร์ ไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสถานทูตต่างๆ  พร้อมวางแผนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และเตรียมวางแผนมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ภายหลังภาวะวิกฤต เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง