รีเซต

"ทรัมป์" อุดช่องโหว่สกัดของถูก กระทบเอสเอ็มอีทั่วโลก

"ทรัมป์" อุดช่องโหว่สกัดของถูก กระทบเอสเอ็มอีทั่วโลก
TNN ช่อง16
4 กันยายน 2568 ( 11:54 )
4

การยกเว้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สำหรับพัสดุภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 25,000 บาท) หรือที่เรียกว่า de minimis ได้ถูกยกเลิกเป็นการถาวรแล้ว โดยสิ้นสุดลง ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศ รายงานว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นการขยายขอบเขต จากการบังคับใช้กับพัสดุภัณฑ์นำเข้าจากจีนและฮ่องกง เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนาม เมื่อเดือนกรกฎาคม ยกเลิก การเว้นภาษี de minimis สำหรับทุกประเทศ และให้มีผลบังคับใช้ปี 2027 (อีกเกือบ 2 ปีข้างหน้า) แต่ก็มีคำสั่งจากฝ่ายบริหาร ออกมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม เร่งเวลาการบังคับใช้ให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิม

รอยเตอร์ส รายงานว่า อัตราภาษีศุลกากรเต็มรูปแบบจะถูกนำมาใช้กับพัสดุทุกชิ้นที่จัดส่งผ่านผู้ให้บริการขนส่งด่วน เช่น FedEx, UPS และ DHL ซึ่งบริษัทเหล่านี้ มีระบบที่พร้อมกว่าในการจัดเก็บภาษีและดำเนินการด้านศุลกากร เมื่อเทียบกับหน่วยงานไปรษณีย์แบบดั้งเดิม

โดยจะมี 2 ทางเลือกคือ จะเลือกเก็บภาษีตามมูลค่าสินค้าในพัสดุภัณฑ์เลย หรือเลือกใช้วิธี อัตราเหมาจ่าย ระหว่าง 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแนวทางหลัง จะมีเวลาใช้แค่ 6 เดือนเท่านั้น ก่อนจะกลับไปสู่ทางเลือกแรก

กรณีใช้แบบอัตราเหมาจ่าย (ทางเลือกที่ 2) จะกำหนดภาษีโดยอิงจากภาษีตอบโต้ (reciprocal) ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับสินค้าจากประเทศต้นทาง และตามแนวทางอัตราภาษีเหมาจ่าย ที่สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) กำหนดไว้ มีดังนี้ 

พัสดุจากประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากร (ภาษีตอบโต้) ต่ำกว่าร้อยละ 16 เช่น สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป จะถูกเรียกเก็บที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนประเทศที่โดนภาษีตอบโต้ อัตราระหว่างร้อยละ 16 ถึงร้อยละ 25 เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม (ซึ่งก็น่าจะรวมถึง ไทย ด้วย) พัสดุจากประเทศเหล่านี้ จะถูกเรียกเก็บภาษีที่ 160 ดอลลาร์สหรัฐฯ

และประเทศที่โดนภาษีตอบโต้สูงกว่าร้อยละ 25 ขึ้นไป เช่น จีน, บราซิล, อินเดีย และแคนาดา ภาษีพัสดุภัณฑ์แบบเหมาจ่ายจะอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ดี ยังมีข้อยกเว้นบางประการ คือ นักเดินทางชาวอเมริกันยังคงสามารถนำของใช้ส่วนตัวมูลค่าไม่เกิน 200 ดอลลาร์ กลับเข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษี และบุคคลที่อยู่ต่างประเทศ สามารถส่งของขวัญมูลค่าไม่เกิน 100 ดอลลาร์ ไปยังสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน 

การยกเว้นภาษีแบบ de minimis ของสหรัฐฯ ใช้มานานหลายทศวรรษแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1938 เริ่มต้นที่การนำเข้าสินค้าประเภทของขวัญ กำหนดมูลค่าไม่เกิน 5 ดอลลาร์ จากนั้นเกณฑ์ดังกล่าว ก็ได้ปรับมูลค่า เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง จนปี 2015 เพิ่มมูลค่าของสินค้าพัสดุภัณฑ์ ที่เข้าเกณฑ์ de minimis จาก 200 ดอลลาร์ เป็นไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กในตลาดอีคอมเมิร์ซ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทำธุรกิจได้ในต้นทุนที่ต่ำลง และผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าราคาประหยัดจากต่างประเทศง่ายขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทอีคอมเมิร์ซและผู้ค้าปลีกระดับโลกที่จัดส่งพัสดุขนาดเล็ก มูลค่าต่ำไปยังสหรัฐฯ ก็เติบโตมากขึ้น

นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าโดยตรงจากจีน ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และหลังจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ก็ทำให้แบรนด์อีคอมเมิร์ซ อย่างเช่น Shein และ Temu ได้ปรับกลยุทธ์ไปสู่โมเดลธุรกิจ แบบ D2C -Direct-to-Consumer เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกโดยตรง ทั้งยังสามารถจัดส่งได้อย่างรวดเร็วจากแหล่งผลิต โดยไม่ต้องมีสต็อกสินค้าในคลังสินค้า แถมยังไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม

แต่หลังจากที่ ชีอิน และ ทีมู บุกเบิกโมเดลธุรกิจดังกล่าวแล้ว ธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมายทั้งในประเทศสหรัฐฯ เอง และต่างประเทศ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ต่างก็นำช่องโหว่นี้มาใช้ในห่วงโซ่อุปทานและรูปแบบการขายของตนเอง ด้วย 

ข้อมูลจากหน่วยงานศุลกากรของสหรัฐฯ พบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พัสดุภัณฑ์ภายใต้ de minimis คิดเป็นร้อยละ 97 ของปริมาณการจัดส่งทั้งหมด และมีการจัดส่ง ประมาณ 4 ล้านชิ้นต่อวัน

มีรายงานด้วยว่า ปี 2024 สินค้าพัสดุมูลค่าต่ำ ที่สหรัฐฯ นำเข้าโดยไม่ถูกเรียกเก็บภาษี มีจำนวนกว่า 1,400 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่ารวม กว่า 64,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในจำนวนพัสดุดังกล่าว ส่วนใหญ่มาจากจีน ประมาณ 994 ล้านชิ้น 

อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ตั้งแต่ยกเลิกใช้ de minimis กับจีนและฮ่องกง วันที่ 2 พฤภาคม หน่วยงาน CBP สามารถเก็บภาษีเพิ่มเติมได้มากกว่า 492 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

แต่เบื้องต้นเกิดการชะงักงันในการขนส่งพัสดุไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุหลายสิบรายทั่วโลก ได้ระงับการจัดส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว เพื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงขั้นตอนการจัดส่ง

ด้าน John Pickel รองประธานฝ่ายนโยบายห่วงโซ่อุปทาน สภาการค้าต่างประเทศแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า การจัดส่งพัสดุบางชิ้นอาจใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกัน ผู้บริโภค รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก

ตัวอย่างจากร้านเครื่องเขียนในนิวยอร์ก ซิตี้ ที่ชื่อว่า กรีนวิช เลตเตอร์เพรส (Greenwich Letterpress) ซึ่ง เบธ ซัลวินี เจ้าของร่วม ของร้านดังกล่าว บอกว่า สินค้าประมาณครึ่งหนึ่งของทางร้านมาจากต่างประเทศ เช่น การ์ดอวยพร มาจากสหราชอาณาจักร, สมุดบันทึกทำมือ มาจากโปรตุเกส และเครื่องเขียนมาจากญี่ปุ่น 

เธอกล่าวว่า เมื่อข้อยกเว้น de minimis สิ้นสุดลง ทางร้านคงไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า

นอกจากนี้ อาจไม่สามารถซื้อสินค้าบางรายการจากต่างประเทศได้อีกต่อไป และซัพพลายเออร์ต่างประเทศบางรายของร้านก็ได้ระงับการจัดส่งสินค้ามายังสหรัฐฯ อยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้าอาจเห็นสินค้าเปลี่ยนไปจากเดิมบนชั้นวางขายสินค้า 

ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า กล่าวกับ สำนักข่าว บีบีซี บอกว่า ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ อาจเห็นความหลากหลายของสินค้าน้อยลงทั้งในร้านค้าปลีก และบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

ส่วนผู้บริหารจากบริษัทโลจิสติกส์ที่ดูแลการส่งออกสินค้า จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่า ในขั้นตอนการกรอกเอกสาร จำเป็นต้องระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมดในผลิตภัณฑ์ว่ามาจากแหล่งใด ซึ่งอาจมาจากหลายประเทศที่มีอัตราภาษีแตกต่างกัน ดังนั้น จะส่งผลให้การจัดส่งสินค้าล่าช้ากว่าเดิมอย่างแน่นอน และด้วยความซับซ้อนนี้ อาจทำให้ผู้ขาย ไม่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับการส่งออกได้

แต่ก็อาจจะทำให้มีคู่แข่งน้อยลง เพราะเมื่อข้อยกเว้น de minimis สิ้นสุด จะทำให้ธุรกิจขนาดเล็กเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้ยากขึ้น (คู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้นได้ยาก) 

นักวิเคราะห์ค้าปลีก กล่าวว่า การยกเลิก de minimis มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาสินค้าจำนวนมากที่ขายผ่านอีคอมเมิร์ซ ปรับสูงขึ้น และอาจทำให้ ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ มีต้นทุนที่ทัดเทียมกับต้นทุนของผู้ค้าปลีกรายใหญ่ อย่างเช่น วอลมาร์ต ได้ ซึ่งปกติ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ มักนำเข้าสินค้าเป็นตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่ต้องเสียภาษีแบบปกติ 

ส่วนฝ่ายสนับสนุนและยินดีกับการยกเลิกมาตรการดังกล่าว เช่น กลุ่มพันธมิตรองค์กรสิ่งทอแห่งชาติ (National Coalition of Textile Organizations) เรียกการเคลื่อนไหวของรัฐบาลครั้งนี้ว่าเป็น ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐฯ โดยเป็นการปิดช่องโหว่ที่ทำให้บริษัทฟาสต์แฟชันต่างชาติ สามารถหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า

ซึ่งการดำเนินการของรัฐบาล ช่วยปิดช่องโหว่นี้ และยังมอบความช่วยเหลือที่รอคอยมานานให้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอของสหรัฐฯ และแรงงาน

เช่นเดียวกันกับ บริษัท Gap Inc ระบุในแถลงการณ์ บอกว่า ยินดีกับการตัดสินใจของรัฐบาลที่ยกเลิก de minimis ถือเป็นการปิดช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้นำเข้า และผู้ค้าปลีกบางรายหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีมานานแล้ว โดยพัสดุเหล่านั้น มักได้รับการตรวจสอบเพียงเล็กน้อย ก่อให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยต่อผู้บริโภค 

ดังนั้น การปิดช่องโหว่นี้จะช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานของประเทศ ปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภค และสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันให้กับผู้ค้าปลีกทุกราย 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง