รีเซต

ผลพวงสงครามยูเครน ‘ไอเอ็มเอฟ’ ปรับลดเติบโต ศก.โลกปีนี้เหลือ 3.6%

ผลพวงสงครามยูเครน ‘ไอเอ็มเอฟ’ ปรับลดเติบโต ศก.โลกปีนี้เหลือ 3.6%
มติชน
20 เมษายน 2565 ( 06:09 )
49
ผลพวงสงครามยูเครน ‘ไอเอ็มเอฟ’ ปรับลดเติบโต ศก.โลกปีนี้เหลือ 3.6%

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประกาศปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้าลง โดยระบุว่าการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนได้ส่งผลกระทบและขัดขวางการค้าโลก ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น คุกคามอุปทานด้านอาหาร ทั้งยังเพิ่มความไม่แน่นอนที่มีสูงอยู่แล้วเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 และตัวกลายพันธุ์ต่างๆ

ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกในปีนี้ลงเหลือเพียง 3.6% ซึ่งลดลงอย่างมากจากปีที่แล้วที่มีการเติบโต 6 .1% และลดลงจากการคาดการณ์ในปีนี้ที่ประกาศไว้ในเดือนมกราคมที่ 4. 4% ทั้งยังระบุด้วยว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเติบโต 3.6% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% ในเดือนมกราคมเล็กน้อย

ปิแอร์ โอลิวิเยร์ กูรินชา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟบอกกับผู้สื่อข่าวว่า สงครามจะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อให้ยิ่งสูงขึ้น

ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจของรัสเซียซึ่งถูกคว่ำบาตรจะหดตัว 8.5% ในปีนี้ขณะที่เศรษฐกิจของยูเครนจะหดตัวลง 35%

ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐจะลดลงเหลือ 3.7% ในปีนี้จาก 5.7% ในปีก่อน โดยปรับลดลงจากตัวเลขเมื่อต้นปีที่ไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตเพิ่มขึ้น 4% ท่ามกลางการประกาศของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งยังต้องเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในคู่ค้าหลักของสหรัฐ

ด้านยุโรปซึ่งพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียอย่างมากจะต้องแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามอย่างหนัก โดยใน 19 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร ไอเอ็มเอฟคาดว่าจะมีการเติบโตที่ 2.8% ในปีนี้ ลดลงอย่างมากจาก 3.9% ที่ประกาศไว้ในเดือนมกราคม และจาก 5.3% ในปีก่อนหน้า

สำหรับจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะชะลอตัวลงเหลือ 4.4% ในปีนี้จาก 8.1% ในปี 2564 โดยเป็นผลกระทบจากยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ของจีน ที่ทำให้มีการล็อคดาวน์ศูนย์กลางเศรษฐกิจการเงินและการค้า อาทิ เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นอย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ดีประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์บางประเทศซึ่งได้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าประเทศไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น 3.4% ในปีนี้จากที่เคยคาดการณ์ในเดือนมกราคมที่ 2.7%

ไอเอ็มเอฟยังคาดการณ์ว่าดัชนีราคาของผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้วจะเพิ่มขึ้น 5.7% ในปีนี้ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2527 ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาอัตราเงินเฟ้อกำลังพุ่งสูงที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ การที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นอาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ พากันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสงครามในยูเครน และทำให้การักษาแนวโน้มของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมากขึ้นอีกด้วย

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างกระตุ้นให้เกิดวิกฤติผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งไอเอ็มเอฟชี้ว่ามันไม่เพียงแต่จะลดอุปทาน แต่ยังเพิ่มราคาปุ๋ยรวมถึงธัญพืชที่ผลิตในรัสเซียและยูเครน จนส่งผลกระทบกับความมั่นคงด้านอาหารในแอฟริกาและตะวันออกกลาง

ไอเอ็มเอฟได้เน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในการคาดการณ์เศรษฐกิจดังกล่าว รวมถึงความยากลำบากที่รัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ต้องเผชิญ ในการพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

คริสตาลินา จอร์จีวา กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า สงครามอาจเลวร้ายลง มาตรการคว่ำบาตรรวมถึงการลงโทษต่างๆ อาจเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับที่โควิด-19 อาจแพร่กระจายไปทั่วโลกอีกครั้ง สำหรับผู้กำหนดนโยบายนี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง