ศบค. เปิดแผนฉีดวัคซีน 2 แสนโดสแรก 13 จว. เพิ่ม 'ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ เชียงใหม่'
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) กล่าวว่า สาระสำคัญในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วานนี้(22 ก.พ.) ใน 3 ประเด็น
นพ.ทวีศิลป์ ระบุว่า ประเด็นที่ 1 กำหนดพื้นที่ผ่อนคลายมาตรการกิจการ/กิจกรรม พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มี 1 จังหวัด คือ สมุทรสาคร ไม่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุด ขณะที่พื้นที่ควบคุมจากเดิม 20 จังหวัดเหลือ 8 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร(กทม.) นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ตาก ราชบุรี สมุทรสงคราม และนครปฐม พื้นที่เฝ้าระวังสูง จากเดิม 17 จังหวัด เหลือ 14 จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวัง จากเดิม 35 จังหวัด เพิ่มเป็น 54 จังหวัด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การผ่อนคลายกิจการจะเป็นไปตามสีของพื้นที่ ซึ่งสมุทรสาคร ยังไม่สามารถเปิดผับบาร์ สถานบันเทิง สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง การเรียนให้ใช้ออนไลน์ ส่วนพื้นที่ควบคุม 8 จังหวัด ผ่อนคลายให้ดื่มแอลกอฮอล์ เล่นดนตรีสดในร้านได้แต่ห้ามเต้น ถึง 23.00 น. โดยจะต้องระวังเรื่องการป้องกันการติดเชื้อด้วย ไม่ดื่มเหล้าแก้วเดียวกัน ต้องระวังเสมอว่าคนที่ร่วมวงกับเรา อาจแพร่เชื้อให้กับเราได้ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง สามารถเปิดสถานบันเทิงได้ถึง 00.00 น. และพื้นที่เฝ้าระวัง สามารถเปิดบริการได้ตามกฎหมาย
ทั้งนี้ คำสั่ง ศบค. ฉบับนี้ ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 ก.พ. เพื่อบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนี้โทรสารทางราชการของกระทรวงมหาดไทย แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและปลัดกรุงเทพมหานคร ชี้แจงการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดกว่าประกาศฉบับดังกล่าวได้ แต่อ่อนกว่าไม่ได้ เช่น ปทุมธานี ที่พบการติดเชื้ออยู่ มอบให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ประชุมมาตรการกิจการต่างๆ ว่าจะกำหนดให้เข้มงวดกว่าเดิมได้ ดังนั้น ขอให้ผู้ประกอบการสอบถามไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดของตนเองในการกำหนดมาตรการต่างๆ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าว ประเด็นที่ 2 แผนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้เสนอแผนต่อที่ประชุม ตามนโยบายว่าทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค เพื่อลดการป่วยตาย ป้องกันระบบสุขภาพของประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 วัคซีนมีจำกัด ผู้ที่จะได้รับคือ บุคลากรสาธารณสุข ทั้งรัฐและเอกชน ผู้มีโรคประจำตัว ผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าที่หน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น จนท.ในสถานกักกันโรค
ระยะที่ 2 วัคซีนมีมากขึ้นและเพียงพอ จะฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ให้ครบ หลังจากนั้นจะฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ ผู้ประกอบอาชีพท่องเที่ยว ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน ลูกเรือ นักธุรกิจ ประชาชนทั่วไป นักการทูต จนท.องค์กรระหว่างประเทศ แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า โดยวัคซีนช่วงแรกจะเป็นเป็นวัคซีนจากซิโนแวค 2 ล้านโดส ทยอยมาตั้งแต่ ก.พ.-เม.ย. จากนั้นที่เหลือจะเป็นของแอสตราเซเนกา 61 ล้านโดส ซึ่งจะเข้ามาตามแผนที่กำหนดไว้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า แผนการกระจายวัคซีนล็อตแรก 200,000 โดสจากซิโนแวค ประเทศจีน กระจายใน 13 จังหวัด เป้าหมายฉีด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และ พื้นที่ควบคุม 8 จังหวัด โดยเพิ่มให้กลุ่มจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีสถานกักกันโรครองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศด้วย คือ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ โดยให้อำนาจกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เป็นผู้พิจารณาผู้ที่เหมาะสมในการฉีด