รีเซต

‘พิพัฒน์’ ยัน 1 พ.ย. เปิดกทม.และ 4 จว.รับต่างชาติ ปักธงปี 65 คืนชีพรับนักท่องเที่ยว 15 ล้านคน

‘พิพัฒน์’ ยัน 1 พ.ย. เปิดกทม.และ 4 จว.รับต่างชาติ ปักธงปี 65 คืนชีพรับนักท่องเที่ยว 15 ล้านคน
มติชน
7 ตุลาคม 2564 ( 11:09 )
48

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า คาดการณ์เป้าหมายรายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวในปี 2565 อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 15 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 6 แสนล้านบาท ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทย เกิดการเดินทาง 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ประมาณ 8 แสนล้านบาท ซึ่งหากประเมินในแง่รายได้ของตลาดรวมจะคิดเป็น 50% ของปีปกติก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 หรือปี 2562 ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท โดยในปี 2564 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ตั้งเป้ารายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศที่ 8.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 แสนล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวในประเทศ อยู่ที่ 5.5 แสนล้านบาท

 

 

นายพิพัฒน์กล่าวว่า การระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งระบบ อาทิ โรงแรม ขนส่ง บริษัทนำเที่ยว นวดสปา ซึ่งคิดเป็น 17% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทย เนื่องจากการเดินทางท่องเที่ยวหายไป ทั้งตลาดไทยเที่ยวไทย และตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยจากข้อมูลพบว่า การเดินทางของคนไทยหายไป 84.75% ส่วนต่างชาติหายไปกว่า 99.98% กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ร่วมกับ ททท. ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายเปิดประเทศใน 120 วันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

 

 

โดยในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ยืนยันว่าจะสามารถเปิดอีก 5 พื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ กรุงเทพฯ จังหวัดเชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.ดอยเต่า) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อ.หัวหิน) จังหวัดเพชรบุรี (อ.ชะอำ) และจังหวัดชลบุรี (เมืองพัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) ได้แน่นอน แต่เน้นย้ำว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ ในระหว่างทางก่อนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ จังหวัดที่กำหนดไว้จะต้องไม่พบการติดเชื้อโควิดใหม่ ที่เป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่และมีความรุนแรงจนสร้างความกังวลสูงอีกรอบ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เพราะแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะนิยมเดินทางไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวทะเลหรือภูเขาของประเทศไทย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ ก่อนอย่างน้อยหนึ่งรอบอยู่แล้ว

 

 

“การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะถัดไป จะเป็นการเปิดแบบกึ่งปกติ ไม่ได้เป็นการเปิดแบบแซนด์บ็อกซ์แล้ว เนื่องจากไม่ได้เป็นระยะนำร่องทดลองเหมือน 4 จังหวัดที่เปิดแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สมุยพลัสโมเดล ที่เป็นการเปิดเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ ในพื้นที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ และจังหวัดพังงา พื้นที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ กระบี่และพังงา จะเปิดรับต่างชาติแบบทั้งจังหวัด ไม่จำกัดเฉพาะในบางที่เหมือนเดิมแล้ว โดยความสำคัญในการเข้ามาของต่างชาติจะมาหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนไทยด้วย ที่ต้องพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมองว่าไม่ต้องกลัวคนที่เข้ามาเที่ยวไทย เพราะทุกคนที่มาได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว และมีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้ามาแล้ว รวมถึงหากประเมินจากการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จากจำนวนต่างชาติที่เข้ามาทั้งหมด ไม่พบว่ามีการติดเชื้อโควิดที่แพร่ระหว่างต่างชาติกับคนไทย หรือคนไทยกับต่างชาติเลย” นายพิพัฒน์กล่าว

 

 

นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับแนวทางการจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างกัน (แทรเวล บับเบิล) ขณะนี้มีการหารือแบบไม่เป็นทางการระหว่างหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย โดยมั่นใจว่า ปลายปี 2564 จะสามารถทำแทรเวล บับเบิลกับประเทศที่มีชายแดนติดกับไทยได้แน่นอน ผ่านรูปแบบการทำการค้าระหว่างกัน หรือการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ภายใต้เงื่อนไขหลักคือ คนในพื้นที่จะต้องได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว รวมถึงคนในต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาก็ต้องได้รับวัคซีนครบโดสด้วยเช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง