คุยกับ อ.ดุลยภาค ถึงวิธีปล่อยคลิปเสียงของผู้นำ ผลกระทบในมุมความไว้ใจ และความสัมพันธ์ทางการทูต

จากคลิปเสียงของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา และประธานวุฒิสภาปล่อยออกมา ซึ่งนายกฯ ก็ยอมรับแล้วว่าเป็นคลิปจากการสนทนาจริง จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงท่าทีของผู้นำไทยที่มีต่อกัมพูชาในประเด็นความขัดแย้ง จนมีการมองว่าฝั่งไทยไม่มีเอกภาพ
แต่ในอีกมุมหนึ่งนอกจากเนื้อหาที่ปล่อยมาแล้วนั้น ในกระบวนการทางการทูต หรือการระหว่างประเทศนั้น แทบไม่เคยเจอกรณีที่ผู้นำระหว่างรัฐและรัฐปล่อยคลิปเสียงการพูดคุยระหว่างกัน จนนำมาสู่การตั้งคำถามว่า วิธีการแบบนี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูต และความไว้ใจระหว่างรัฐหรือไม่
TNN Online พูดคุยกับ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งอาจารย์มองว่านี่ถือได้ว่าเป็นแบล็กเมล์ทางการทูต แต่การถูกปล่อยเสียงครั้งนี้ ความเสียหาย และผลกระทบอยู่ที่ผู้นำไทยเป็นหลัก
“ผมคิดว่านี่เป็นการแบล็กเมล์ทางการทูต ว่าผู้นํากัมพูชากุมความลับเกี่ยวกับผู้นําไทยเอาไว้ด้วยส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นเกมในการบีบทางนายกฯ ว่าถ้ายังไปพูดอะไร ก็อาจจะมีความลับอีกส่วนหนึ่ง ยังมีคลิปเสียงที่เขาสามารถปล่อยออกมาได้
และที่สําคัญก็คือฮุน เซนพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเค้ากุมความลับ แล้วก็มีไพ่ต่อรองทางการเมือง แต่ว่าปล่อยออกมาแบบนี้ ผลกระทบจริงๆ มันจะไปอยู่ที่นายกฯ แพทองธารมากที่สุด เพราะว่าพูดอะไรไว้ยังไง มีเนื้อความที่พูดถึงการแยกพวกกับทางกองทัพภาคที่ 2 หรือมีอะไรที่พูดแล้ว ฝ่ายคนที่อยู่ในประเทศไทยอาจจะมองว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์ ไม่จงรักภักดีต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่เป็นการปกป้องประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพราะว่าใช้นโยบายตามใจกัมพูชาเกินไป ดูจากบทสนทนาคือเหมือนนายกฯ ไทยก็ยอมอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกันกับทางกัมพูชา
ดังนั้นผมคิดว่าคลิปนี้น่าจะมีผลกระทบมากต่อนายกฯ อุ๊งอิ๊ง และเสถียรภาพของรัฐบาลเพื่อไทยในแง่ที่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันกับกองทัพ รวมถึงประชาชน ซึ่งตอนนี้มีความรู้สึกอยากจะปกป้องประเทศชาติ แต่ว่าคลิปเสียงก็พิสูจน์แล้วว่านายกฯ แพทองธารดูจะเกรงอกเกรงใจท่านฮุนเซน และฮุน มาเนตมาก”
นอกจากผลกระทบของการแบล็กเมล์ที่นายกฯ ไทยได้รับเต็มๆ นั้น อาจารย์ดุลยภาค ซึ่งศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาก่อนนั้น มองถึงวิธีการออกมาปล่อยคลิปว่า เป็นดาบสองคมกับทางกัมพูชาเช่นกัน ในแง่ความเชื่อถือ
“กัมพูชา เค้าปล่อย (คลิปเสียง) ออกมา เพราะคิดว่าเค้ากุมความลับอะไรบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นดาบสองคมกับทางกัมพูชาด้วยเหมือนกันว่า ผู้นําปกติเค้าก็คุยอะไรกันลับๆ อยู่แล้ว เป็นการทูตที่ต่อสายตรงคุยกันโดยไม่ออกสื่อ ซึ่งก็มีอยู่ทั่วโลกและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่การที่ฮุน เซนออกมาเปิดเผยแบบนี้ มันก็จะทําให้เห็นว่า อนาคตถ้าผู้นําประเทศไหนไปคุยอะไรกัน แล้วมีการปล่อยเสียง แฉคลิปออกมาทีหลัง แม้เป็นการลดเครดิตของฝ่ายที่ถูกโจมตี แต่สิ่งที่ฮุน เซน ถือเป็นครั้งแรกๆ ในการเอาออกมาเปิดโปงให้สังคมทั่วไปได้รับรู้ ก็ทําให้กัมพูชาขาดความน่าเชื่อถือเหมือนกันว่า คุยกันลับๆ แล้วอยู่ๆ เอามาเปิดเผย ผู้นํากัมพูชาเชื่อถือได้แค่ไหน ? สมเด็จฮุน เซน มีเครดิตได้แค่ไหน ? ซึ่งในแนวทางที่ผู้นําคุยกันมักจะเป็นเรื่องลับ”
แต่ถึงอย่างนั้น อ.ดุลยภาคก็มองว่า แม้จะมีกระแสโจมตีฮุน เซน แต่ก็คงจะไม่กระทบต่อเขาเท่าไหร่นักในครั้งนี้
“ต่อให้มันมีกระแสโจมตีทางสมเด็จฮุน เซนบ้างว่า ต่อไปจะไม่มีใครกล้าคุยกับสมเด็จฮุน เซน คุยอะไรแล้วเดี๋ยวก็เอาความลับมาเปิดโปง แต่ว่า ณ วันนี้ ผมว่าฮุน เซนก็ไม่ได้กระทบซักเท่าไหร่ เพราะความรู้สึกคนไทยอยากจะรู้ว่า ตกลงแล้วนายกฯ เรามีความต้องการ วัตถุประสงค์ต่อประเทศชาติแบบไหนกันแน่ แล้วแรงกดดันต่างๆ ผมคิดว่าจะถาโถมมาที่ทางรัฐบาลเพื่อไทย”
อาจารย์ยังมองอีกว่า นอกจากกระแสความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชานั้น อาจจะมีอีกกระแสที่เกิดขึ้น คือกระแสประท้วง คับข้องใจ หรือสงสัยว่านายกฯ และรัฐบาลเพื่อไทย มีเจตนารมณ์แค่ไหน ในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติด้วย
ปกติแล้วการปล่อยเสียง คลิปแฉต่างๆ เกิดขึ้นในการเมืองในประเทศของหลายประเทศ แต่นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นกรณีแรกๆ ที่ผู้นำประเทศหนึ่งปล่อยคลิปเสียงของผู้นำอีกประเทศ ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างกัน ซึ่งการเลือกวิธีการปล่อยเสียงในครั้งนี้ อ.ดุลยภาคยังมองอีกว่า ไม่ใช่วิธีที่พบเห็นในทางการทูต แต่การใช้วิธีนี้ ก็เป็นไปตามบุคลิกของสมเด็จฮุน เซนด้วย
“ผมว่ามันก็เป็นจุดเปลี่ยนสําคัญ เพราะปกติเวลาเราศึกษาประวัติศาสตร์การทูต หรือนโยบายต่างประเทศที่ผู้นําคุยกัน เราไม่ค่อยเห็นเคสไหนที่เอาบทสนทนาออกมาเปิดเผย หรือเปิดโปงแบบนี้ แต่มันจะกลายเป็นเทรนด์สําหรับอาเซียน หรืออีกหลายประเทศไหม นั่นก็ขึ้นอยู่ที่บุคลิกภาพของของคนที่แฉเรื่องนี้ด้วย
สมเด็จฮุน เซน ผมมองว่าท่านใช้แนวทางที่เป็นกลอุบายมารยา มีกลิ่นอายแบบการแฉข้อมูล การข่มขู่ การกดดัน ซึ่งเป็นสไตล์ของท่านอยู่แล้ว ดังนั้นสําหรับกัมพูชาซึ่งฮุน เซนมีอิทธิพลมาก แล้ว ณ วันนี้ สถานการณ์บางอย่างทําให้ฮุน เซนตัดสินใจว่าถ้าปล่อยคลิปแบบนี้จะมีประโยชน์ต่อทางเค้ามาก หรือ อาจจะกลบกระแสอะไรบางอย่างเพื่อให้พุ่งเป้ากระแสโจมตีไปที่นายกฯ แพทองธารแบบเต็มที่มากขึ้น มันก็มองได้หลายแง่มุม
แต่ประเทศอื่นเค้าอาจจะไม่ได้ทําตามแบบที่ฮุน เซนทําในลักษณะปล่อยคลิปก็ได้ มันอยู่ที่นิสัยใจคอ หรืออยู่ที่สไตล์ของคนที่เล่นเกมแบบนี้ด้วย ซึ่งคาแรกเตอร์ของท่านฮุน เซนเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่ว่านัดนี้ก็ถือว่าก็ปล่อยมาสร้างความประหลาดใจเยอะเหมือนกัน เพราะมันเป็นคลิปเสียงหลักฐานเชิงประจักษ์ และนายกฯ เองก็ออกมายอมรับว่า เป็นเสียงท่านจริงในระยะเวลาที่รวดเร็วมากๆ"
สุดท้ายแล้ว เราพูดคุยกับอาจารย์ถึงความกังวลของการทูตไทย และกระทรวงต่างประเทศในอนาคตหลังเจอกรณีการปล่อยคลิปเสียงผู้นำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็มองว่า ที่ผ่านมาเราเองก็เคยมีการทูตที่ผู้นำไทย เน้นพูดคุยส่วนตัวกับผู้นำประเทศอื่นมาแล้ว ซึ่งคือในสมัยทักษิณ ชินวัตร ที่มักริเริ่มข้อตกลงความร่วมมือ และไปพูดคุยกับผู้นำประเทศอื่นๆ เป็นการส่วนตัว ก่อนถ่ายทอดเป็นนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศไปปฏิบัติการ
“พอมาวันนี้ นายกฯ แพทองธารขึ้นมาก็มีสไตล์แบบนี้ และมีความสัมพันธ์ที่ตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุนก็ สนิทกันมากด้วย ดังนั้นนายกฯ อุ๊งอิ๊งก็เรียกฮุน เซนว่าเป็น ‘uncle’ เป็น ‘ลุง’ คุณมาเนต เป็น ‘พี่’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางกระทรวงการต่างประเทศก็คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า การแก้ปัญหากับกัมพูชาก็อยู่ที่ผู้นําตระกูลชินวัตร และตระกูลฮุนต่อสายคุยกันด้วย ดังนั้นหลายๆ ฝ่ายจึงรอว่า ตกลงนโยบายไทยจะชัดเจน จะมีเอกภาพแค่ไหนอยู่ที่ตระกูลชินวัตร อยู่ที่รัฐบาลชุดนี้ด้วย
ทั้งถ้าดูในคลิปเสียง คุณแพทองธารพูดมาอย่างนี้แสดงว่า นายกฯ กับรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันกับกองทัพภาคที่ 2 แล้วก็เป็นคำถามว่า แล้วกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร ? อาจจะเป็นเนื้อเดียวกันประมาณนึง เพราะคุณมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รมว.ต่างประเทศมีคอนเนคชันกับคุณทักษิณ แต่ว่า ณ วันนี้ มันไปไกลยิ่งกว่า เพราะว่าการทูตแบบผู้นําคุยกันแบบลับๆ มันถูกเปิดโปงออกมา
ซึ่งพอเปิดโปงแบบนี้ นายกรัฐมนตรี, ชนชั้นนําในเพื่อไทย หรือตระกูลชินวัตรจะถูกตั้งคําถาม เกี่ยวกับเรื่องของการปกป้องผลประโยชน์ชาติ หรือการนําดินแดนเอกราชของประเทศไปสมยอม หรือว่าตามใจกัมพูชากันเกินไป ประเด็นนี้นายกรัฐมนตรี กับตระกูลชินวัตรจะเริ่มถูกแยกออกจากกลไกระบบราชการของไทยที่กําหนดนโยบายยุทธศาสตร์ต่อกัมพูชา และแยกจากประชาชนที่ต้องการออกมาปกป้องประเทศ และอยากให้รัฐบาลสู้กับ กัมพูชาอย่างมีเอกภาพ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ชาติจริงๆ ผมว่าเป็นสถานการณ์ตอนนี้ กระแสนับจากนี้ไปมันจะพุ่งไปที่การเมืองไทย” อ.ดุลยภาคสรุป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
