รีเซต

ลุ้นLTFกลับมาหนุนตลาดหุ้นไทย SCB CIOคาดเม็ดเงินกว่า4หมื่นล.

ลุ้นLTFกลับมาหนุนตลาดหุ้นไทย SCB CIOคาดเม็ดเงินกว่า4หมื่นล.
ทันหุ้น
30 พฤษภาคม 2567 ( 15:18 )
26
ลุ้นLTFกลับมาหนุนตลาดหุ้นไทย SCB CIOคาดเม็ดเงินกว่า4หมื่นล.

#LTF #ทันหุ้น - SCB CIO ชี้หาก LTF กลับมา จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ช่วยลดความผันผวน และเงินทุนไหลออกคาดจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย 4-5 หมื่นล้านต่อปี แนะตลาดหุ้นไทยสามารถลงทุนได้ทั้งพอร์ตหลักระยะยาว และพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น ด้วยปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเบิกจ่ายงบภาครัฐ


นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ได้วิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดผลักดันให้นักลงทุนสามารถกลับมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) ได้อีกครั้ง โดยเรามีมุมมองว่า ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยช่วยลดเงินทุนไหลออก ลดแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศลงได้


*LTFเม็ดเงินกว่าหมื่นล.

ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติในอดีต พบว่า ในช่วง 7 ปีสุดท้ายก่อนที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน LTF จะหมดลง มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนใน LTF ประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากคิดเป็นยอดเงินลงทุนสุทธิ โดยคำนวณจากเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน หักเงินที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกไป ก็ยังสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาทต่อปี


แต่เมื่อการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง ในปี 2562 พบว่า มีเงินไหลออกจากกองทุน LTF ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ ยอดเงินคงค้างที่อยู่ในกองทุน LTF โดยรวม ในปี 2562 เคยอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ก็ลดลงไปค่อนข้างมาก โดยเหลือเพียง 2.47 แสนล้านบาท ในเดือน เม.ย. 2567 


ฉะนั้นหากกองทุน LTF กลับมาใช้สิทธิประโยชน์ภาษีได้อีกครั้ง และเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ ก็จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งคาดว่าเงินบางส่วนจะมาจากเงินที่เคยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ และเงินลงทุนใหม่


*แยกวงเงินลดหย่อนยิ่งจูงใจ

หากเงื่อนไขการลงทุนใน LTF ที่จะนำกลับมาใหม่นี้ ไม่นำยอดเงินลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD),กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และประกันชีวินแบบบำนาญ ที่กำหนดยอดเงินลงทุนรวมกันไว้ไม่เกิน 500,000 บาท 


โดยแยกเงินลงทุน LTF ออกมาอีก จำนวน 500,000 บาท เหมือนในอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองที่น่าสนใจ เช่น กำหนด 5 ปี เหมือนในอดีต คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง 


นอกจากนี้ กองทุน LTF จะช่วยลดความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทย จากการถูก short sell (การยืมหุ้นมาขายเพื่อทำกำไร เมื่อคาดว่าหุ้นนั้นจะปรับตัวลดลง) เนื่องจากเวลาที่หุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนก็จะมีแรงซื้อกองทุน LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดให้ปรับตัวดีขึ้นได้ อีกทั้ง LTF จะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย


*SET100น่าสนหากมีLTF

สำหรับ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกลับมาของกองทุน LTF นั้น มองว่า เป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 (หุ้น 100 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด) เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถถือลงทุนระยะยาวได้ อีกทั้งหุ้นหลายตัวใน SET100 เป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลค่อนข้างดี และจากสถิติในอดีตพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศ นิยมถือครองหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก


ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมองว่า นอกเหนือจากแนวโน้มการกลับมาของกองทุน LTF แล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มได้ปัจจัยหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นได้ต่อในช่วงครึ่งปีหลัง การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ จะเป็นแรงหนุนภาคการลงทุนในประเทศ


ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) ที่ระดับ 14.6x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตโควิด-19


ด้วยเหตุนี้ จึงมีมุมมองว่า สามารถลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว 1 ปีขึ้นไป (Core Portfolio) ได้ และยังสามารถลงทุนบนพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ได้ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง จากปัจจัยสนับสนุนที่เข้ามาในระยะใกล้ได้


โดยแนะนำให้ลงทุนผ่าน กองทุน SCBTHAICGA ซึ่งเป็นกองทุนทุนรวมหุ้นไทย ประเภทที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก บริหารโดยผู้จัดการกองทุนชั้นนำ มีกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นที่มี ธรรมาภิบาล (Governance) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือสังคม (Social) เป็นสำคัญ โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นเพียง 30 – 50 บริษัท แต่ยังมีการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง