ไทยลุยโควิดโรคประจำถิ่น สงกรานต์ไม่ห้ามเดินทาง 16 มี.ค.65 ป่วยกลุ่มเขียวนอน รพ.จ่ายเอง!

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ. เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 2/2565 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน การทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เครือข่ายโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ (UHOSNET) โรงพยาบาล (รพ.) เอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ ร่วมประชุม
จากนั้นนายอนุทินแถลงว่า วันนี้มีประเด็นสำคัญ 4 เรื่องได้แก่ 1.เห็นชอบในหลักการแผนรองรับเปลี่ยนผ่านโควิด-19 จากโรคระบาด (Pandemic) เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศบนพื้นฐานสุขภาพที่ดี ซึ่งประเทศอื่นมีการใช้นโยบายดังกล่าวแล้ว โดยต้องมีมาตรการเฝ้าระวังในและการเดินทางเข้าประเทศ การบริหารจัดการวัคซีนป้องกัน มาตรฐานการรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย มาตรการกฎหมายและสังคม เพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตด้วยมาตรการ Universal Prevention และ VUCA ตลอดเวลา โดย อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับที่สากลยอมรับคือ เสียชีวิต 1 ต่อ 1,000 ราย ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของไทยอยู่ที่ไม่ถึง 1 ต่อ 1,000 ราย และเห็นชอบแผนรณรงค์วัคซีนกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ก่อนเทศกาลสงกรานต์ สำหรับผู้รับเข็มที่ 2 หรือเข็มที่ 3 มานานกว่า 3 เดือน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ให้มากที่สุด รวมถึงพนักงานให้บริการ พนักงานขนส่ง เป็นต้น
“เนื่องจากเราไม่ได้ห้ามการเดินทางในช่วงสงกรานต์ และพบว่ายังมีผู้อายุมากกว่า 60 ปี อีก 2 ล้านคน ยังไม่ได้รับวัคซีน จึงได้กำชับทุกหน่วยงานเร่งค้นหา ติดตาม และจัดฉีดวัคซีนเชิงรุกให้มากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์การระบาดสายพันธุ์โอมิครอน ยังพบผู้ติดเชื้อรายวันในระดับสูง แม้ส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ แต่จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของผู้ป่วยใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว พบว่ามีอัตราป่วยตายสูงจากสาเหตุอื่นร่วมกับการติดเชื้อโควิด-19″ นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า ภาพรวมประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วกว่า 125 ล้านโดส ครอบคลุมเข็มแรก ร้อยละ 78 เข็มที่ 2 ร้อยละ 72 และเข็มที่ 3 กว่าร้อยละ 30 เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ครอบคลุมเข็มแรก ร้อยละ 83 เข็มที่ 2 ร้อยละ 79 และเข็มที่ 3 กว่าร้อยละ 31
นายอนุทินกล่าวว่า 2.ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับค่าใช้จ่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตโควิด-19 หรือยูเซ็ป พลัส (UCEP Plus) โดยกลุ่มสีเหลืองและแดงยังสามารถเข้ารักษาพยาบาลได้ทุกแห่งจนหายโดยไม่ต้องย้ายโรงพยาบาล (รพ.) และไม่กำหนดระยะเวลาจ่ายค่าชดเชยเฉพาะ 72 ชั่วโมงแรก ในขณะที่กลุ่มสีเขียวสามารถเข้ารับการรักษาฟรีใน รพ.ตามสิทธิ เน้นการดูแลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ผู้ป่วยที่ตรวจ AKT ที่ รพ. หากมีผลตรวจเป็นบวก ให้รับยาที่จุดตรวจ ATK ก่อนกลับบ้าน ผู้ป่วยที่ตรวจด้วยตนเองสามารถมารับยาที่ รพ.หรือแจ้ง รพ.ให้ส่งยาไปที่บ้าน และเยี่ยมติดตามอาการหลังครบ 48 ชั่วโมง
“เราจะเน้นการรักษาจากที่บ้าน (HI) ทำให้เตียงใน รพ.เพียงพอสำหรับผู้ที่มีอาการปานกลางขึ้นไป ดังนั้น ยูเซ็ป พลัส สำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง สีแดง รับบริการฉุกเฉินได้ สำหรับคนที่ไม่มีอาการก็ดูแลที่บ้าน เพราะทุกวันนี้ ไม่ใช่ทุกคนต้องรับยาฟาวิพิราเวียร์ได้ เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งกรมการแพทย์กำลังจะออกคำแนะนำ หรือไกด์ไลน์ ในการดูแลรักษา ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์แม้เราจะผลิตได้เอง แต่ขณะนี้เราใช้เฉลี่ยวันละ 1.5-2 ล้านเม็ด ถือเป็นจำนวนมาก เราก็ต้องบริหารส่วนนี้ จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้องให้ผู้ติดเชื้อได้รับยาที่เหมาะสมด้วย” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า 3.เร่งรัดการให้วัคซีนป้องกันโรคหัดและหัดเยอรมัน ภายใต้โครงการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมันตามพันธะสัญญานานาชาติ ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ทบทวนการกำจัดโรคหัดและหัดเยอรมันของประเทศไทย เสนอแนะให้เร่งรัดฉีดวัคซีนในเด็กต่างด้าว เด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน รวมถึงผู้ใหญ่กลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานต่างด้าว พื้นที่ชายแดน ผู้ลี้ภัย เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกัน
“โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เป็นผู้บริหารจัดการวัคซีน และ 4.แนวทางการรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ด้วยวิธี Test and Treat เนื่องจากประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ประมาณ 400,000 ราย ในจำนวนนี้เกิดภาวะตับแข็งประมาณ 80,000 ราย และมะเร็งตับประมาณ 3,200 รายต่อปี สธ.จึงเพิ่มยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี ในบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี (จ2) เพื่อเป็นสิทธิประโยชน์สำหรับคนไทย และใช้แนวทางการวินิจฉัยด้วยวิธี Test and Treat เพื่อให้ผู้ติดเชื้อได้รับการตรวจวินิจฉัยยืนยันและได้รับยารักษาเร็วที่สุด โดยให้ รพ.ชุมชน รพ.ทั่วไป ดูแลผู้ป่วย และเปิดโอกาสให้แพทย์ทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรม สามารถจ่ายยาและติดตามการรักษาผู้ป่วยได้ โดยมีอายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารหรืออายุรแพทย์ที่ปฏิบัติงานด้านระบบทางเดินอาหารเป็นที่ปรึกษา” นายอนุทินกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงการลงนามยูเซ็ป พลัส หากหลังจากวันที่ 16 มีนาคมนี้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ กรณีผู้ติดเชื้อสีเขียว ไม่มีอาการแต่อยากรักษาใน รพ.เอกชน หรือ รพ.นอกสิทธิ จะต้องจ่ายเงินเองหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ลงนามแล้ว ขณะนี้เหลือปรับแก้ เพื่อประกาศใช้วันที่ 16 มีนาคม 2565 ดังนั้น ที่ดีสุดคือ ผู้ป่วยสีเขียวเข้ารักษาใน รพ.ตามสิทธิของตัวเอง และเมื่อมีไกด์ไลน์กรมการแพทย์ออกมาแล้ว คาดว่า รพ.รัฐบาลก็จะไม่มีการรับเข้าเป็นผู้ป่วยใน แต่ส่วนเอกชนก็ต้องแล้วแต่ความสมัครของผู้ป่วย
ด้าน นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่กลุ่มสีเขียวแต่อยากเข้ารักษาใน รพ.จะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง แต่หากเข้า รพ.ตามสิทธิที่ตัวเองมี ก็จะมีระบบ HI ให้รักษาตัวเองได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว