ไทยพร้อมยกระดับมาตรฐานการบินสู่สากล

ปีนี้นับเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย เนื่องจากเป็นปีที่มีการตรวจสอบครั้งใหญ่จากหน่วยงานระดับนานาชาติถึง 3 รายการหลัก ซึ่งแต่ละรายการล้วนมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาโลก
เริ่มต้นที่องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA ที่เข้ามาประเมินด้านความปลอดภัยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผลออกมาไทยสามารถ กลับคืนสู่ Category 1 ได้สำเร็จ จากเคยอยู่ Category 2 ทำให้สายการบินของไทยกลับไปบินสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง การเชื่อมต่อเครือข่ายการบินระหว่างทวีปที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
ต่อด้วยเดือนสิงหาคม มีการตรวจสอบในโปรแกรม USOAP CMA ซึ่งจะดูการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล - แนวทางการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยไทยสามารถทำคะแนนเฉลี่ยได้สูงถึงร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 70 แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออย่างดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆในอุตสาหกรรมการบิน
และในเดือนหน้าต้องเตรียมเข้ารับการตรวจด้านการรักษาความปลอดภัยในโปรแกรม ICAO USAP ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญที่สะท้อนประสิทธิภาพของระบบการกำกับดูแลการบินของไทย
ซึ่งตลอดช่วงทศวรรษของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAAT ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน รวมถึงการปลดธงแดงของ ICAO ในปี 2560 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และตอนนี้กำลังพัฒนายกระดับมาตรฐานการบินของไทยสู่สากลในทุกด้าน ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบิน “Aviation Hub” และการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภูมิภาค และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
CAAT ได้กำหนดกรอบการดำเนินงานสำคัญที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายหลักของรัฐบาลสำหรับทศวรรษใหม่ ได้กำหนดกรอบการดำเนินงานสำคัญ 4 เสาหลัก เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและทิศทางโลก ได้แก่
1) ความปลอดภัย ด้วยการใช้ระบบบริหารความเสี่ยงและเทคโนโลยีดิจิทัล
2) ความยั่งยืน โดยส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิง SAF และลดการปล่อยคาร์บอนตามมาตรฐาน ICAO
3) ความทันสมัยและนวัตกรรม ผ่านการใช้ AI และปรับปรุงระบบอนุญาตให้สะดวก รวดเร็ว รองรับอากาศยานไร้คนขับในอนาคต
และ 4) ศูนย์กลางการบินและอุตสาหกรรม (Aviation Hub & MRO) โดยบูรณาการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการผู้โดยสาร การซ่อมบำรุง และศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ CAAT คือ แนวทางการอนุญาตให้นำเข้าอากาศยาน โดยเฉพาะเครื่องบินที่ใช้งานแล้ว ปัจจุบันไทยยังมีข้อจำกัดเรื่อง “อายุของอากาศยาน” เช่น เฮลิคอปเตอร์ที่ต้องมีอายุไม่เกิน 5 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติทำให้การจัดหาเป็นเรื่องยาก ขณะที่ในต่างประเทศหลายแห่งหันมาใช้เกณฑ์ “Airworthiness” หรือการประเมินความพร้อมใช้งานของอากาศยานแทนอายุการใช้งาน เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่เครื่องบินใหม่ผลิตไม่ทันกับความต้องการทั่วโลก
ขณะเดียวกัน CAAT กำลังพิจารณาปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการใช้บริการสนามบิน ค่าธรรมเนียม PSC สำหรับผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ จาก 730 บาท เป็น 735 บาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเล็กน้อย และถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ที่เรียกเก็บถึง 1,500 บาทต่อคน การปรับขึ้นนี้เพราะท่าอากาศยานมีการลงทุนในระบบอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยมากขึ้น เช่น การติดตั้งระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ (Auto-Gate), ระบบคัดกรองสัมภาระที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานของสนามบินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก ปลอดภัย และบริการที่รวดเร็วทันสมัยยิ่งขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
