รีเซต

คลัง ขายหุ้นบางจาก ระดมเงินซื้อหุ้นไอพีโอ 'โออาร์'

คลัง ขายหุ้นบางจาก ระดมเงินซื้อหุ้นไอพีโอ 'โออาร์'
มติชน
20 มกราคม 2564 ( 11:58 )
34
คลัง ขายหุ้นบางจาก ระดมเงินซื้อหุ้นไอพีโอ 'โออาร์'

นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พร้อมจะใช้สิทธิจองซื้อหุ้นไอพีโอของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ตามที่ได้รับจัดสรรทั้ง 100% เนื่องจากธุรกิจของ OR มีแนวโน้มเติบโตสูง จึงมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีแก่กระทรวงการคลัง ซึ่งรายได้หรือเงินปันผลที่ได้รับก็จะถูกนำส่งเข้าคลังต่อไป

 

“กรณีที่ปตท.แยก OR ออกไปตั้งบริษัทใหม่ จะมีการขยายกิจการ การจ้างงานเกิดขึ้น เมื่อธุรกิจเดินไปได้ดี ก็จะมีการเสียภาษี ซึ่งจะเป็นรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม” นายประภาศ กล่าว

 

ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 กระทรวงการคลังถือหุ้นใน PTT จำนวน 14,598,855,750 หุ้น หรือ 51.11% จึงได้รับสิทธิในการซื้อหุ้น OR ตามสัดส่วน 95.1997 หุ้น ปตท. ต่อ 1 หุ้น OR ในราคาหุ้นละ 16-18 บาท โดยกระทรวงการคลังจะได้รับจัดสรรหุ้น OR จำนวน 153.34 ล้านหุ้น จองซื้อที่ราคาหุ้นละ 18 บาท มูลค่า 2,760 ล้านบาท

 

  • ขายหุ้นบางจาก 5% ใช้สิทธิ

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เงินที่กระทรวงการคลังจะนำมาซื้อหุ้น OR นั้น กระทรวงการคลังจะขายหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ในบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP จำนวน 5% จากที่ถืออยู่ 9.98% ให้แก่กองทุนวายุภักษ์ โดยจะขายในราคาที่เกินกว่าทุน แม้จะต่ำกว่าราคา Book แต่ในแง่ภาครัฐนั้นถ้าขายเกินราคาทุนถือว่ามีความชอบธรรม

“การที่เราขายหุ้น BCP ให้แก่วายุภักษ์นั้น ถือว่าเราไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุนในบางจาก เพราะเราให้กองทุนวายุภักษ์เข้าไปถือ ซึ่งคลังก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกองทุนวายุภักษ์ด้วย”

ผู้สื่อขายรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม มีรายการซื้อขายบิ๊กล็อตหุ้น BCP จำนวน 71 ล้านหุ้น หรือ 5.22% ราคา 25.80บาท มูลค่ารวม 1,854.99 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเป็นรายการที่กระทรวงการคลังขายให้แก่กองทุนวายุภักษ์

 

  • กองทุนเชื่อโออาร์ไปสวย

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า บลจ.บัวหลวง ได้ทำสัญญาตกลงซื้อหุ้น OR ในการเป็นผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) มากเป็นอันดับ 2 จำนวน 143.15 ล้านหุ้น เนื่องจากหุ้น OR มีความน่าสนใจลงทุนในระยะยาว และเชื่อมั่นในทีมผู้บริหารในเครือของ ปตท. ในเชิงปฏิบัติการตามแผนธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตในอนาคตได้ แม้จะมีดิสรัปชั่นเทคโนโลยีหรือสถานการณ์ต่างๆที่อาจเป็นความเสี่ยงเข้ามาหลังจากนี้ แต่จากในอดีตที่ผ่านมาได้พิสูจน์ความสามารถของผู้บริหารในเครือ ปตท. แต่ละรุ่นจนถึงปัจจุบันมาแล้ว

นอกจากการขยายสถานีบริการน้ำมันจนเป็นผู้นำในธุรกิจแล้ว ยังสามารถขยายร้านกาแฟจนติดตลาด เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในปัจจุบันด้วย และมีโอกาสขยายธุรกิจในต่างประเทศ

“จุดแข็งของ OR เป็นผู้นำในธุรกิจสถานีบริการน้ำมันของประเทศ มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 39% สามารถเติบโตได้ในระยะยาว ด้วยความสามารถในการขยายสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน ขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันในประเทศมีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงยังมีรายได้เพิ่มเติมจากร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟที่สม่ำเสมอจากการเดินทางภายในประเทศมากขึ้นในช่วงหลังโควิด-19, โมเดลธุรกิจแบบ Dealer-Own ทำให้มีความเสี่ยงต่ำและขยายสาขาด้วยเงินทุนต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง”

 

  • จ่อซื้อกิจการเพิ่ม

นายพีรพงศ์ กล่าวว่า OR ได้นำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ถึงแผนธุรกิจในอนาคตกับกองทุนว่า นอกจากการขยายสาขาสถานีบริการน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ก็ยังมีแผนในการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (M&A) เพราะมีกระแสเงินสดและงบดุลที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตมีการเปลี่ยนจากรถยนต์ใช้น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า OR ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบสถานีบริการน้ำมัน เป็นสถานีชาร์จไฟรถไฟฟ้า ซึ่งธุรกิจในเครือ ปตท. มีการเตรียมความพร้อมในธุรกิจแบตเตอรี่ เพื่อรองรอบการดิสรัปชั่นที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง บลจ.บัวหลวง มองว่า แผนงานดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในอนาคต

ดังนั้น บลจ.บัวหลวง จึงประเมินราคาเป้าหมายในระยะ 3 ปีข้างหน้า (2564-2566) จะเพิ่มขึ้นเป็น 25-27 บาท มีอัตรากำไรต่อหุ้น 1.25-1.35 บาทต่อหุ้น และP/E 20 เท่า หากคิดจากราคาไอพีโอที่ 18 บาท เพราะเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจ non-oil ที่มีการเติบโตสูงสุดในปัจจุบัน

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย ซึ่งได้ซื้อหุ้น OR จำนวน 108 ล้านหุ้น กล่าวว่า ด้วยความเชื่อมั่นในการบริหารธุรกิจของกลุ่มปตท. ค่อนข้างมีหลักคิดที่ยืดหยุ่น และด้วยศักยภาพของ OR และมีเงินทุนจากการขายหุ้นไอพีโอ จะสามารถสร้างการเติบโตได้ต่อเนื่องในอนาคต ดังนั้นก็หวังว่าราคาหุ้นของ OR จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก

 

  • ยูโอบีให้ราคาอัพไซด์ 20% 

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากมองผลประกอบการย้อนหลัง พี/อี ของ OR จะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 23.9-26.9 เท่า แต่หากมองไปยังคาดการณ์กำไรของปี 2564 พีอีจะอยู่ที่ 16-18 เท่า อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและค้าปลีก ถือว่าราคาหุ้น OR ค่อนข้างจะจูงใจและเป็นราคาที่มีส่วนลด ขณะที่เราให้ราคาเหมาะสมของ OR ไว้ที่ 22 บาท

“แม้ว่าในระยะยาวภาพของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอาจไม่ได้เติบโตมากหรือเติบโตค่อยเป็นค่อยไป เพราะส่วนใหญ่ยังมาจากความต้องการในประเทศเป็นหลัก แต่ความน่าสนใจในธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจร้านกาแฟ ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกพอสมควรและสามารถเติบโตไปเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาคได้”

อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาจองซื้อระดับนี้และมีการตอบรับที่ดีของนักลงทุนสถาบัน คาดว่า ราคาเสนอขายจะเป็นราคาสูงสุดที่ 18 บาท และยังมีอัพไซด์อีก 20% จากราคาเหมาะสมที่เราประเมินไว้ แนะนำว่า OR มีความน่าสนใจ และนักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อที่สาขาของธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่ง OR มีลักษณะการกระจายหุ้นที่ดีและหลากหลาย รวมถึงทางด้านธุรกิจ OR มีความเป็นธุรกิจค้าปลีกเติบโตต่อเนื่อง จึงเหมาะมกับการลงทุนระยะกลางถึงยาวมากกว่า เมื่อเทียบกับหุ้นของกลุ่ม ปตท.ด้วยกันที่เหมาะกับการลงทุนเป็นรอบๆ

นอกจากนี้ OR ยังมีความน่าสนใจ จากผลประกอบการที่ประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก คือ ค้าปลีกน้ำมันและค้าปลีก โดยสัดส่วนธุรกิจค้าปลีกเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ และมากกว่าธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ทำให้แนวโน้มราคาหุ้น OR มีโอกาสได้พรีเมี่ยมเพิ่มสูงมากขึ้น ปัจจุบันตลาดให้มูลค่าของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน พีอี อยู่ที่ 15-18 เท่า ส่วนมูลค่าของธุรกิจค้าปลีกจะสูงกว่า พีอีอยู่ที่ 24-28 เท่า

 

  • เข้า SET 50 ทันที

นายกิจพณ กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดฯของ OR คาดว่าจะเกิดผลกระทบต่อตลาดในลักษณะคล้ายกับ AWC และ SCGP ที่ผ่านมาผลที่เกิดขึ้นจากการจองซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ พบว่า มีผลกระทบต่อตลาดและเป็นผลระยะสั้นๆเท่านั้น ขณะเดียวกัน OR ระดับมาร์เก็ตแคปราว 2 แสนล้านบาท ถือได้ว่าเข้าสู่ SET 50 ค่อนข้างแน่นอน โดยนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยต้องเตรียมเงินเพื่อจองซื้อ โดยอาจต้องขายหุ้นหรือลดน้ำหนักหุ้นบางตัวในพอร์ตลงไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกระจายหุ้น OR รอบนี้จะแตกต่างจากการกระจายหุ้นไอพีโอทั่วไป ตรงที่หุ้น OR จะไม่มีการจัดสรรให้แก่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เพราะเกรงว่าบริษัทหลักทรัพย์ฯจะนำไปจัดสรรต่อให้ลูกค้ารายใหญ่ของตัวเอง ทำให้นักลงทุนรายย่อยพลาดโอกาส ซึ่งเกรงว่าจะซ้ำรอยการกระจายหุ้น ปตท. เมื่อปี 2544 ที่หมดเกลี้ยงภายใน 1 นาที 17 วินาที

 

  • คาดอิบิดาปีนี้พุ่ง 66%

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจ OR ปี 2564 และ 2565 ทั้งธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและค้าปลีกกำไร ยังเติบโต มี EBITDA เติบโต 66% จากการบริโภคน้ำมันลดลงและฐานต่ำเมื่อปีก่อน และเติบโต 13.6% ได้ต่อเนื่อง อีกทั้งค่าการตลาดปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มราคาน้ำมันเป็นขาขึ้น ขณะที่ ปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.2% และ 6.8% ตามลำดับ ตามการฟื้นตัวของปริมาณการบริโภคน้ำมันในประเทศ หลังคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือมีวัคซีนเข้ามา

ขณะที่ ธุรกิจค้าปลีกได้แก่ ร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟ กำไรยังเติบโต มี EBITDA เติบโตเฉลี่ย 9-15% ต่อปี

ความเสี่ยงของ OR มองว่า ปริมาณความต้องการการบริโภคน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระบาด และการถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีอีวีคาร์ หรือรถยนต์ไฟฟ้าอาจทำให้ความต้องการน้ำมันในประเทศชะลอตัวลง อีกทั้งยังมีความผันผวนจากการบันทึกกำไรขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน โดยในปี 2562 มีสัดส่วนกำไรคิดเป็น 11% ของ EBITDA และมีขาดทุนสะสมจากการสต็อกน้ำมันในช่วง 9 เดือนของปี 2563 กระทบ EBITDA หดตัว 25% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป

 

  • ลุ้นเปิดเทรด 18-20 บาท

แหล่งข่าวโบรกเกอร์ กล่าวว่า แนวโน้มการปรับขึ้นของราคาหลัง OR เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ น่าจะคล้ายกับ SCGP เพราะเป็นรูปแบบของหุ้นมาร์เก็บแคปขนาดใหญ่ การขยับของราคาอาจต้องใช้เวลา แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยได้ประโยชน์จากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้า และหุ้นรายๆ ตัวราคาปรับขึ้นมาใกล้เป้าหมายแล้ว

ขณะที่ ฝั่ง OR เป็นหุ้นค่อนข้างใหม่ ในระยะยาวธุรกิจยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องและมีแผนการขยายธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงยังสามารถลงทุนในระยะสั้นๆได้ตามปัจจัยราคาน้ำมันมีทิศทางปรับตัวขึ้น จึงมองว่า ราคา OR มีโอกาสปรับขึ้นแน่นอน แม้ว่าราคาปิดจองจะเป็นราคาสูงสุดที่ 18 บาท และน่าจะขึ้นไปแถวระดับ 20 บาทในวันแรกที่เปิดการซื้อขายและมีอัพไซด์ต่อได้อีก เพราะเป็นหุ้นในเครือปตท.อยู่ในฝั่งหุ้นยอดนิยม