รีเซต

‘แบงก์’เดินหน้าอัพเสน่ห์ ลุยซื้อหุ้นคืน-จ่ายปันผล

‘แบงก์’เดินหน้าอัพเสน่ห์ ลุยซื้อหุ้นคืน-จ่ายปันผล
ทันหุ้น
31 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
27

#KBANK #ทันหุ้น - KBANK ทุ่ม 8.8 พันล้านบาท ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 47.39 ล้านหุ้น  เริ่ม 14 พฤศจิกายน 2568 -13 พฤศจิกายน 2569 เพื่อบริหารทางการเงิน-จัดการเงินกองทุน  ด้านนักวิเคราะห์ มอง  KTB เซอร์ไพรส์ จ่ายปันผลเพิ่มเป็นปีละ 2 ครั้ง จากเดิมจ่ายปีละครั้ง - ซื้อหุ้นคืน ล้วนทำเพื่อดัน ROE สูงขึ้น เพิ่มความน่าสนใจ-ดึงดูดนักลงทุนเข้าลงทุน แจงหุ้นแบงก์ขึ้นเด่นวานนี้ ปัจจัยหลักเทรนด์ดอกเบี้ยชะลอลง

นายจงรัก  รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินของธนาคาร ภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 8,800 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 47.386 ล้านหุ้น  หรือไม่เกิน 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของธนาคาร โดยวิธีการซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2569 โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจะเป็นเงินสดจากสภาพคล่องภายในของธนาคาร

@บริหารเงินกองทุน

สำหรับการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินกองทุน โดยธนาคารได้คำนึงถึงความเพียงพอของเงินกองทุน สภาพคล่องส่วนเกินและผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร เนื่องจากในปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่แข็งแกร่ง เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ

 โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 21.60% ธนาคารได้พิจารณาทางเลือกในการบริหารจัดการเงินกองทุนโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงภาวะตลาด ผลการดำเนินงาน และระดับเงินกองทุน

ทั้งนี้ธนาคารเห็นว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะสมในสภาวการณ์ปัจจุบัน ที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการเงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะทำให้ธนาคารมีมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงและมีจำนวนหุ้นของธนาคารลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น อันจะทำให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ถือหุ้น

@คงยุทธศาสตร์ 3+1

นายจงรัก กล่าวว่า ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ และมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ตอกย้ำการเป็นธนาคารที่ได้รับความไว้วางใจเสมอมา เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน เพื่อสร้างคุณค่าและผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้จากข้อมูลจากงบการเงินเฉพาะกิจการสอบทาน/ตรวจสอบงวดล่าสุด KBANKมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 (ตรวจสอบแล้ว) เท่ากับ 424,098 ล้านบาท มีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรของธนาคาร ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 (ก่อนสอบทาน) เท่ากับ 430,301 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนโดยประมาณเท่ากับ 6,841 ล้านบาท

@ดอกเบี้ยชะลอลงดันหุ้นดีด

นายเทิดศักดิ์  ทวีธีระธรรม  กรรมการบริหาร  บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส  จำกัด กล่าวกับ “ทันหุ้น” ว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเด่นวานนี้ (30 ต.ค.68) เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยจากแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐโอกาสที่จะลงมีน้อย และปีหน้าดูความน่าจะเป็นจาก Fed Watch Tool ก็จะปรับลงเล็กน้อย  และท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 2568 ได้

 ประกอบกับ Consensus จาก Bloomberg ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่ลดลง  ทำให้ความเสี่ยงของแบงก์ลดลง เพราะกลุ่มแบงก์จะอ่อนไหว (Sensitive) กับดอกเบี้ยที่ลดลง  รวมถึงมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ของกลุ่มแบงก์ ทั้ง  P/E, P/BV, และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (ดิวิเดนด์ ยิลด์)ของกลุ่มแบงก์นั้นดีอยู่แล้ว  รวมแล้วจึงเป็นปัจจัยที่ดันหุ้นกลุ่มแบงก์ขึ้นมา

สำหรับกรณีที่ KTB มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล ทำให้ปีนี้จะมีการจ่ายปันผล 2 ครั้ง  จากเดิมที่มีการจ่ายปีละครั้งเท่านั้น ส่วนตัวมองว่า อาจจะเป็นการทำให้เหมือนกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่มีการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง   ซึ่งในครั้งแรกที่มีการประกาศจ่าย อาจจะมีเซอร์ไพรส์บ้าง  แต่หากคำนวณดิวิเดนด์ยิลด์ทั้งปีเชื่อว่าจะเท่าเดิม   ส่วนกรณีที่ KBANK มีการประกาศซื้อหุ้นคืน เพื่อทำให้ ROE สูงขึ้น และเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน

@เพิ่มความน่าสนใจ

อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าการที่ประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่ม หรือการซื้อหุ้นคืน ก็เพื่อทำให้ ROE เพิ่มขึ้น  ซึ่งการทำดังกล่าวก็จะทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทดังกล่าว  

“การที่จะทำให้ ROE สูงขึ้น คือ การทำกำไรให้สูงขึ้น หรือทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง ซึ่งการปันผลเพิ่ม และการซื้อหุ้นคืนก็เป็นการทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง โดยทุกบริษัทสามารถทำได้หากมีความพร้อม และมีสภาพคล่องส่วนเกิน”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง