วิจัยเยอรมันชี้ 'ยาต้านเลือดแข็งตัว' มีประสิทธิภาพรักษาผู้ป่วยโควิด-19

เบอร์ลิน, 19 ก.พ. (ซินหัว) -- เมื่อวันพฤหัสบดี (18 ก.พ.) ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยฮัมบวร์ก-เอปเปนดอร์ฟ (UKE) ของเยอรมนี เปิดเผยผลวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในเยอรมนี พบว่าการรักษาด้วย "ยาต้านการแข็งตัวของเลือด" มีผลเชิงบวก

การศึกษาของศูนย์ฯ เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน พบว่าโรคโควิด-19 นำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดและโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด "ในผู้ป่วยจำนวนมากผิดปกติ" ทำให้เยอรมนีระบุในแนวปฏิบัติระดับชาติว่าควรมีการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดรักษาผู้ป่วย หลังจากประเมินความเสี่ยงเป็นรายบุคคลแล้ว

เบนยามิน ออนดรุชกา ผู้อำนวยการฝ่ายนิติเวชศาสตร์ของศูนย์ฯ ระบุว่าแม้ผลการชันสูตรศพบ่งชี้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 อาจยังมีลิ่มเลือดในปอดหลังรับยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่การวิเคราะห์เชิงสถิติพบ "โอกาสรอดชีวิตนานขึ้นหลังปรับเปลี่ยนวิธีรักษา"

"ผลการศึกษาครั้งนี้เป็นความสำเร็จสำคัญของการวิจัยร่วม ซึ่งเน้นย้ำความสำคัญของนิติเวชศาสตร์ต่อการดำรงชีวิต ตอนนี้เราต้องการการศึกษาที่เปรียบเทียบผลการศึกษาของเรากับข้อมูลจากผู้ป่วยหนักที่รอดชีวิต" ออนดรุชกากล่าว

ศูนย์ฯ ชันสูตรศพผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ทั้งหมด 735 ราย ซึ่งราว 2 ใน 3 เสียชีวิตระหว่างการระบาดระลอก 2 ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน โดยผู้ป่วย 618 ราย มีโรคโควิด-19 เป็นสาเหตุการเสียชีวิต ขณะผู้ป่วยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการปอดอักเสบหรือลิ่มเลือด

อย่างไรก็ดี มีผู้ป่วยในกลุ่มชันสูตรเพียงร้อยละ 7 ที่ติดเชื้อไวรัสฯ แต่ "การติดเชื้อไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิต" โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เสียชีวิตในโรงพยาบาลและมักมีอาการป่วยอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว อาทิ โรคความดันเลือดสูง ไตวาย หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมถึงโรคอ้วนที่พบในร่างผู้เสียชีวิตของกลุ่มชันสูตรถึงร้อยละ 20