รีเซต

หวั่นพายุเข้าอีก 2 ลูก เร่งระบายน้ำเขื่อนป่าสักฯ เตือน 'สระบุรี-ลพบุรี-อยุธยา' ท่วมสูงขึ้น

หวั่นพายุเข้าอีก 2 ลูก เร่งระบายน้ำเขื่อนป่าสักฯ เตือน 'สระบุรี-ลพบุรี-อยุธยา' ท่วมสูงขึ้น
ข่าวสด
30 กันยายน 2564 ( 18:16 )
1K

 

หวั่นพายุเข้าอีก 2 ลูก สทนช.เร่งระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เตือน "สระบุรี-ลพบุรี-อยุธยา" อาจท่วมสูงขึ้น ขอกำลังทหารช่วยประชาชน

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2564 นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้องลุ้นพายุ 2 ลูกที่ทั้งสองฝั่งของประเทศไทยในปัจจุบัน จะไม่ส่งผลกระทบในระยะนี้ แต่จะยังคงมีอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดฝนตก ซึ่งจะมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้

 

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ประมาณ 10 วันต่อจากนี้ เป็นช่วงที่จะมีฝนตกในพื้นที่ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นช่วงที่จะมีการเร่งระบายน้ำโดยเร็วถึง 1 ต.ค. 64 และเว้นช่วงในวันที่ 2-3 ต.ค. ซึ่งจะมีน้ำทะเลหนุนสูง ก่อนจะเร่งระบายอย่างต่อเนื่องอีกครั้งในระหว่างวันที่ 4-8 ต.ค. 64 ก่อนจะเข้าสู่ช่วงที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนตกชุกในวันที่ 9-12 ต.ค. 64

 

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าห่วงพื้นที่ จ.สระบุรี จ.ลพบุรี และจ.พระนครศรีอยุธยา ที่อาจได้รับผลกระทบจากการระบาดน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำในแม่น้ำอาจสูงขึ้น 1-1.5 เมตร และอาจมีน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนจำนวนมาก จึงประสานจังหวัดให้แจ้งเตือนประชาชนว่าช่วงนี้จะมีการระบายน้ำในเขื่อน อาจใช้เวลาประมาณ 20 วัน กว่าจะระบายน้ำที่ท่วมขังหมด และสถานการณ์เข้าสู่สภาวะปกติ

 

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนกรุงเทพฯและปริมณทล จะได้รับผลกระทบกจากน้ำที่ระยายลงมา กรมชลปีระทานได้ทำการระบายน้ำเข้าทุ่งต่างๆ เพื่อตัดยอดน้ำ และไม่ให้ท่วมบ้านเรือนประชาชน แต่คงเรี่ยงไม่ได้ หากไม่มีฝนตกมาเพิ่ม หรืออิทธิของพายุ 2 ลูกไม่มีน้ำเพิ่มเข้ามา อีกไม่เกิน 10 วันสถานการณ์ริมเจ้าพระยาในแถบกรุงเทพ และปริมณฑลก็เข้าสู่สภาวะปกติ

 

“ได้สั่งการให้กรมชลประทาน และจังหวัดต่างๆ ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงจับตาสถานการณ์น้ำท่วมเป็นรายชั่วโมง โดยสทนช.ได้ประสานของกำลังทหารเตรียมรับมือน้ำท่วม ช่วยเหลือประชาชน หลังปรับแผนระบายน้ำเพิ่ม หวั่นพายุ 2 ลูกเข้าเติมน้ำในเขื่อน”

 

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานคร กอนช. ได้มีการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้สถานการณ์น้ำที่สถานีวัดระดับน้ำ N.67 อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่านได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และปริมาณน้ำมีแนวโน้มลดลง เช่นเดียวกับสถานการณ์บริเวณแม่น้ำปิง ที่สถานี P.17 อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเขื่อนภูมิพล ที่ปริมาณน้ำไหลผ่านมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้มวลน้ำที่จะไหลรวมกันลงสู่พื้นที่ตอนล่างน้อยลงตามลำดับ

 

จากการติดตามสถานการณ์ ณ สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ พบว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังลดลงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ มวลน้ำจาก จ.นครสวรรค์ จะไหลลงมารวมกับแม่น้ำสะแกกรัง โดย 29 ก.ย. 2564 แม่น้ำสะแกกรัง มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 412 ลบ.ม./วินาที แต่ 30ก.ย.ลดลงเหลือ 393 ลบ.ม./วินาที จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สถานการณ์ของทุกสถานีวัดน้ำดังกล่าวส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างสอดคล้องกัน บ่งบอกว่าปริมาณของน้ำที่จะไหลมารวมตัวกันที่บริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลง

 

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนทางด้านสถานการณ์บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มขึ้นในอัตราไม่มากนัก โดยจากวานนี้มีอัตราไหลผ่านที่ 2,749 ลบ.ม./วินาที ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 2,775 ลบ.ม./วินาที และจะยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ที่สถานี C.13 อ.สรรพยา จ.ชัยนาท จะขึ้นสู่จุดสูงสุดประมาณช่วงเย็นวันนี้หรือเช้าวันที่ 1 ต.ค.นี้

 

"ปัจจัยที่ช่วยในการรักษาให้ระดับน้ำทรงตัว คือการดึงน้ำออกไปทางฝั่งตะวันตก ผ่านคลองมะขามเฒ่าอู่ทอง และแม่น้ำท่าจีน ไปยัง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งช่วยตัดยอดน้ำออกไปได้ในปริมาณมาก โดยวานนี้มีการผันน้ำเข้าทางฝั่งตะวันตก 254 ลบ.ม./วินาที และเพิ่มขึ้นในวันนี้ที่อัตรา 303 ลบ.ม./วินาที ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติงาน"

 

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า กอนช. ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อบินสำรวจทุ่งรับน้ำ และพบว่าพื้นที่ลุ่มต่ำในบริเวณฝั่งตะวันตกยังคงมีช่องว่างมากเพียงพอสำหรับรองรับน้ำได้ อย่างไรตาม การผันน้ำอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรที่อยู่ในระหว่างการเพาะปลูกและยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ซึ่งวานนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน เร่งตรวจสอบและดูแลทั้งชุมชนและพื้นที่การเกษตรในช่วงก่อนมวลน้ำไหลจะเข้าไปในพื้นที่ ในส่วนของฝั่งตะวันออก

 

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย.น้ำได้ไหลเข้าสู่คลองชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งได้กลับมาเพิ่มการระบายอีกครั้งหลังจากก่อนหน้าที่ลดการระบายลง เนื่องจากพบว่า บริเวณ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ยังคงมีช่องว่างสำหรับรองรับน้ำได้เพียงพอ โดยน้ำจากการระบายจะไหลผ่าน จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง ก่อนจะเข้าสู่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดย จ.พระนครศรีอยุธยา จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตราที่เพิ่มขึ้นในระยะ 3-4 วัน ข้างหน้านี้ และสถานการณ์จะทรงตัวเช่นนี้อีกประมาณ 7 วัน

 

“เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้ต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้นในอัตรา 1,200 ลบ.ม./วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำล้นสปิลเวย์ และได้ประสานกับทางกรมชลประทาน ในการลดอัตราการระบายลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการทยอยระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสักชลสิทธิ์ออกไปก่อน ขณะนี้อัตราน้ำที่ไหลเข้ามีปริมาณลดลง และมวลน้ำอีกราว 400 ล้าน ลบ.ม. ที่จะไหลเข้ามาในเขื่อนเพิ่มเติม โดยระดับน้ำบริเวณท้ายเขื่อนป่าสักฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ โดยภายหลังน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลดลงแล้ว ระดับน้ำแม่น้ำป่าสักก็จะลดลงตามลำดับภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์”

 

นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเร่งระบายน้ำออกทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เพื่อรักษาระดับน้ำที่จะปล่อยผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในระดับคงที่และไม่สูงมากจนเกินไปนัก โดยจะเร่งรัดการระบายน้ำให้คลี่คลายภายใน 20 วัน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ปริมาณน้ำจากอิทธิพลของพายุเตี้ยนหมู่ ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคเหนือได้กว่า 1,800 ล้าน ลบ.ม. ในภาคกลาง กว่า 700 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กว่า 1,200 ล้าน ลบ.ม.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง