เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้


บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ได้เปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นแกว่งออกข้างแล้วในระยะกลางหลังไม่สามารถยืนแนวรับหลักในกรอบแนวโน้มบริเวณ 1,540+- จุดได้ โดยมีแนวรับหลักที่ 1,520-1,515 จุด ปัจจัยกดดันยังคงมาจากความกังวลว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกครั้งปีนี้ และอาจปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าน้อยกว่าที่เคยประเมิน โดยต้องติดตาม Dot Plot หลังการประชุมคืนวันพุธนี้
ส่วนปัจจัยในประเทศ Bond Yield ยังคงทรงตัวสูงเช่นกันโดย 10 ปียืนเหนือ 3% ซึ่งสะท้อนว่าตลาดประเมินกนง.มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2.5% เช่นกันในการประชุมปลายเดือนนี้ ระยะสั้นเรามองกลุ่มที่จะแกว่งตัวแข็งแกร่งกว่าตลาด ได้แก่ พลังงานต้น-กลางน้ำที่ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นที่ยังยืนสูง ขณะที่กลุ่มการแพทย์-สื่อสารฯปรับตัวได้แข็งกว่าตลาดต่อเนื่องจากแนวโน้มกำไร 3Q23 ที่คาดแข็งแกร่งกว่าตลาด ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเรายังคงมองว่ามีโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไปจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐทั้งการลดค่าไฟ-น้ำมัน ขึ้นค่าแรง และเงินดิจิทัลที่จะออกปีหน้า
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 3Q23 แข็งแกร่ง//ถือลงทุนต่อเนื่องหลังสะสมบริเวณ 1,500+- จุดไปแล้ว
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : AOT, CPALL, CPN, NSL, TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 77 บาท
• แนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q23 ชะลอเล็กน้อย q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่เรามองปีนี้อาจกระทบน้อยกว่าปีก่อนๆจากฝนที่ค่อนข้างน้อย ล่าสุด SSSG QTD ยังโตได้ รวมถึงจะได้ประโยชน์จากค่าไฟที่ลดลงอย่างมีนัยยะตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป รวมถึงต้นทุนทางการเงินของ CPAXT
• เราคาดว่ากำไรจะกลับมาเร่งตัวแตะระดับสูงสุดใน 4Q23 จาก High Season ยังคาดกำไรทั้งปี 2023 ที่ 1.64 หมื่นลบ. +23% y-y ส่วนปี 2024 คาดที่ 1.94 หมื่นลบ. +19% y-y
• แนวรับ 62 บาท แนวต้าน 64.75-65//67.50 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ มีโอกาสแกว่งตัวในกรอบแคบ ไทยไร้ปัจจัยใหม่ช่วยหนุน ต่างประเทศ บรรยากาศการลงทุนอยู่ในโหมดของการรอคอยประชุม FOMC จากความไม่แน่ใจของนักลงทุนกับแนวโน้มทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เนื่องจากราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งมีส่วนในการเร่งการขึ้นของเงินเฟ้อ (ล่าสุด Brent $94.7 เหรียญ) รวมถึงราคาแก๊สในตลาดโลกขยับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันด้วย
• การเมืองไทย การออกมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของภาครัฐฯนั้น โดยส่วนมากจะมีผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง จับตานายกฯ เยือนสรัฐฯ ในการเข้าร่วมประชุม UNGA ซึ่งได้กล่าวไว้ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อการค้า การลงทุนของไทย
• จากประเด็น ครม.เห็นชอบลดค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันเหลือ 3.99 บาท/หน่วย กระทบหุ้นผู้ผลิตไฟฟ้า ส่วนหุ้นได้ประโยชน์จากการลดค่าไฟฟ้ายังมี อาทิ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม จากค่าใช้จ่ายส่วนนี้ที่ลดลง และอาจจะต้องระวังหุ้นกลุ่มอื่นๆ ถ้ารัฐบาลจะออกมาตรการเพื่อช่วยคนที่มีรายได้น้อย ในลำดับต่อไป
• นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย วานนี้(18) Net Sell 2.5 พันล้านบาท
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของอียู
Strategy
• ข่าวลบ กลับเข้ามาในตลาด หลังมีการลดค่าไฟ(เพิ่ม) และความไม่แน่นอนในเรื่องดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ ดัชนีฯ ยังไม่สามารถกลับไปที่ 1540 จุด (จุดรับต่อไป อาจเห็นที่ 1515 จุด) เราแนะนำชะลอการลงทุน เพื่อรอจังหวะซื้อรอบใหม่
• ตลาดพลิกผันตลอดเวลา แต่เรายังคงถือเงินสด 50% และเลือกหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวเข้ามา(เพื่อเล่นสั้นๆ) วันนี้ เราลดน้ำหนักหุ้นที่อิงจีนออกไปก่อน(ชั่วคราว) โดยนำ TOP และ IVL ออกจากพอร์ต และนำ CRC , NYT เข้ามา โดยตัวหลัง เป็นท่าเรือทีนำเข้า-ส่งออกรถ
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น TOP, IVL ออก และนำ CRC, NYT เข้ามา พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย CRC(10%), NYT(10%), BEM(20%), ADVANC(10%)
Strategy Stock Pick
NYT : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 5.1 บาท) “ผลบวกจากการย้ายฐานผลิต EV มาไทย”
• NYT ได้ประโยชน์โดยตรง (เหมือนกลุ่มนิคมฯ จากการย้ายฐานการผลิตรถ EV ของค่ายรถต่างๆ มายังไทย
• NYT ให้ข้อมูลผ่านสื่อ ว่าตัวเลขนำเข้ารถ EV) พุ่ง ปริมาณรถผ่านท่าเทียบเรือกลับมาพุ่งเกิน 8 หมื่นคัน ในเดือนสิงหาคม 2566 คาดว่าปริมาณรถผ่านท่าเทียบเรือจะโตได้ 8% ด้านธุรกิจคลังสินค้าบูม ลูกค้าเจรจาต่อเนื่อง
• แนวโน้ม กำไร 3Q23E จะยังเติบโตได้ดีขึ้น YoY, QoQ จากปริมาณรถยนต์ผ่านท่าเทียบเรือที่จะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล
• เราประมาณการกำไรปี 2023E ไว้ที่ 415 ล้านบาท +65% YoY จากกำไร 2Q23 ที่ดีกว่าคาดมาก รวมถึง 2H23E ที่ยังมีแนวโน้มดีขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะจากการนำเข้ารถ BEV ที่มีรายได้และ GPM ที่ดีขึ้น
Technical: KAMART, PSP
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,515 - 1,520 แนวต้าน 1,535 - 1,540 มีโอกาสปรับลดลง แต่ประเมิน Downside เริ่มจำกัดหลังดัชนีเทรดที่ F/PE 17.0 X แนะนำทยอยซื้อ CPALL,CPAXT,ADVANC,TRUE,ERW,CENTEL ได้ประโยชน์จากปรับค่า FT
SABINA* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 29.25 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q66 ที่ 115 ล้านบาท -2%QoQ, +5YoY ทรงตัวจากการเลื่อนรับรู้รายได้งาน OEM ขณะที่รายได้จากช่องทาง Store retailing และ Online + Tv Shopping ยังขยายตัวได้ดีอยู่จากแคมเปญการตลาดชุดชั้นใน Braless Collection ใหม่ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนแนวโน้ม 2H66 คาดหวังการเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยช่วง High season ปลายปี ประกอบกับงาน OEM ในยุโรปน่าจะเริ่มฟื้นตัวและการขยายตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ทำได้มากขึ้น ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 66-67 ที่ 473 ล้านบาท +13%YoY และ 522 ล้านบาท +10%YoY ตามลำดับ
SISB* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 41.50 บาท) กำไรสุทธิงวด 2Q66 อยู่ที่ 155.43 ลบ. (+99% YoY, -2% QoQ) ภาพ QoQ อ่อนตัวเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายในส่วนของพนง.รองรับโรงเรียนเปิดใหม่ 2 โรงเรียน อย่างไรก็ตาม YoY ยังโตได้ดีจากจำนวนนักเรียนที่สูงขึ้น ส่วนการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายังจะมีแรงหนุนจาก จำนวนนักเรียนที่สูงขึ้นตามการเปิดโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์นนทบุรี และโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ระยอง ในเดือนส.ค.66 โดยผู้บริหารวางเป้าหมายจำนวนนักเรียนแตะระดับ 4.0 พันคน ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 SISB* ที่ 712 ลบ.(+93%YoY) และ 960 ลบ.(+35%YoY)