GUNKUL เตรียม1.5พันล้าน ปิดดีลโซลาร์เวียดนาม50MW
ทันหุ้น –สู้โควิด –GUNKUL เร่งปิดดีลซื้อโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4/2563 นี้ ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้น ชี้ครึ่งปีหลังเข้าไฮซีซันพลังงานลม หนุนการผลิตไฟฟ้าดีขึ้น โบรกมองผลงานครึ่งปีหลังเด่น เคาะเป้าหมาย 3.60 บาท
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลัง2563 จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซันของธุรกิจพลังงาน อย่างโครงการพลังงานลมที่จะมีลมสมรสุมในช่วงฤดูฝนเข้า ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าดีขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของการขยายธุรกิจพลังงานบริษัทก็ศึกษาการลงทุนโครงการใหม่ๆ ต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันมีการเจรจาซื้อโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ ฟาร์ม) 2-3 โครงการ ในประเทศเวียนาม คาดเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4/2563 จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตราว 50 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยจะใช้ส่วนทุนประมาณ 30% และอีก 70% เป็นโปรเจคไฟแนนซ์
*เป้าอัพผลิต 100 MWต่อปี
ส่วนโครงการอื่นทยอยเห็นความชัดเจนต่อไป ซึ่งในแต่ละปีบริษัทคาดหวังจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 100 เมกะวัตต์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าปี 2565 มีกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือราว 640 เมกะวัตต์
ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) บริษัทมีการเข้าร่วมประมูลงานจำนวนมาก แต่ปีนี้งานโครงการส่วนใหญ่จะเป็นของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.) เช่น Underground Cable Construction Long-term Pla และUnderground Cable Construction Long-term Plan เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้หลังจากได้มีการโอนสินค้าแล้ว (Backlog) ราว 8 พันล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2565
ขณะที่การตั้งหน่วยงานสายพันธุ์ใหม่เพื่อเข้ามาดูแลสายงานที่เกี่ยวข้องด้านนวัตกรรม ในชื่อ “GUNKUL SPECTRUM” ขณะนี้อยู่ระหว่งการพัฒนาระบบ แพรตฟอร์มขึ้นมาใช้งาน โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับธุรกิจพลังงานในอนาคต ทั้งการซื้อขายสินค้า และการซื้อขายไฟฟ้าด้วย ซึ่งคาดว่าระบบดังกล่าวจะดำเนินการได้ภภายใน 6 เดือน
*ครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่น
ด้านบริษัท หลักทรัพย์เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง GUNKUL ว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 3.60 บาท อิง SOTP ทั้งนี้บริษัทประกาศกำไรปกติ ไตรมาส 2/2563 ที่ 318 ล้านบาท (ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน , ลดลง 6% จากไตรมาสก่อนหน้า ) อยู่ในกรอบที่ประเมิน โดยลดลง สาเหตุจากรายได้ธุรกิจ trading ถูกกระทบจาก COVID-19 ทำให้ลดลง ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน , ลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า และการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานลมลดลงหลังมรสุมเข้าช้ากว่าปีก่อนและปัจจัยฤดูกาลในไตรมาส 2/2563
ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ที่ 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น เติบโต 24% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเข้าช่วง high season (ไตรมาส3และไตรมาส4 ) ของ solar ในญี่ปุ่นและ wind farm ผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานลมลดลงหลังมรสุมเข้าในไทย ซึ่งจะช่วยหนุนให้ ครึ่งปีหลัง เติบโตโดดเด่นเทียบกับครึ่งปีแรก ขณะที่ธุรกิจรับเหมาการดำเนินการงานที่เซ็นสัญญาไปแล้วกลับมาเดินหน้าก่อสร้างได้ตามปกติ ประเมินจะทำให้ downside ต่อประมาณการจำกัด