เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index มีลุ้นรีบาวด์ระยะสั้นหลังจากปรับตัวลง 4 วันก่อนหน้า หลังวานนี้มีแรงซื้อกลับจากแนวรับเส้นแนวโน้ม Sideways Up บริเวณ 1,385-1,390 จุด ประกอบกับทิศทาง Bond Yield สหรัฐฯและ Dollar Index ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ด้านปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยยะเข้ามากระตุ้น
ส่วนในประเทศวันนี้รอติดตามครม.ถกมาตรการแก้หนี้นอกระบบ ส่วนด้านหนี้ครัวเรือนของไทยยังทรงในระดับสูง 90% ของ GDP ส่วนพรุ่งนี้ปัจจัยสำคัญคือการประชุมกนง. ซึ่งคาดว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% แต่ที่ต้องจับตาคือการปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2024 ว่าจะลงจากปัจจุบันที่ +4.4% มากน้อยเพียงใด รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาด 35 ล้านคน แม้ระยะสั้นภาพรวมของ SET Index จะยังดูค่อนข้างอ่อนแอ แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในแง่ y-y growth และจะทยอยเร่งตัวใน 4Q23-2024
ประกอบกับดัชนีที่ปรับฐานลงกว่า -10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาและ -16% YTD เรามองว่าสะท้อนปัจจัยลบกำไรบจ.ที่ถูกปรับลงและ De-rated Valuation ไปแล้วค่อนข้างมาก เราเชื่อว่า Downside ของตลาดจะเริ่มจำกัดมากขึ้น และมองจังหวะพักตัวลงเป็นโอกาสทยอยสะสมเพื่อถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหากรอบล่างในกรณีแย่ของเราที่ 1,320-1,360+- จุด
หุ้นเด่นเดือน พ.ย.: AOT, BH, CENTEL, CPN, SISB
หุ้นเด่นวันนี้ : TIDLOR
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท
• แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q23 คาดว่าจะทยอยเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์จะดีขึ้นเช่นกันหลังจากที่ผ่านช่วงแย่สุดใน 2Q23 ไปแล้ว
• แม้ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวในระดับสูง แต่เรายังชอบ TIDLOR ในแง่ Coverage Ratio ที่สูงและช่วยจำกัดความเสี่ยงการตั้งสำรองก้อนใหญ่ ซึ่งทำให้ Downside ต่อประมาณการปี 2023 ที่คาด -7% y-y และเร่งตัวแกร่ง +21% y-y ในปี 2024 มีจำกัด
• แนวรับ 22 บาท แนวต้าน 23-23.30//24 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ แกว่งกรอบแคบ ตัวเลขท่องเที่ยวผิดหวัง โดยตลาดต่างประเทศ รอดู ตัวเลขค่าใช้จ่ายผู้บริโภค (PCE) ของสหรัฐฯ (30) คาด +3.1% YoY มีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed (13 ธ.ค. ประชุม FOMC) คืนที่ผ่านมา Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ สูงขึ้นเป็น 4.40%
• การประชุม OPEC+ ในวันที่ 30 ธ.ค. หากซาอุฯ+รัสเซีย สวนทางกับสมาชิกอื่นๆ ด้วยการลดกำลังการผลิต จะเป็นบวกต่อราคาน้ำมันและ PTTEP แต่หากคงหรือเพิ่มกำลังการผลิต จะเป็นลบต่อราคาน้ำมันด้วย
• การรายงานตัวเลขที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว และ slot สายการบินจีน มีผล(ลบ) ต่อตลาด เนื่องจาก เป็นข้อมูลที่นักลงทุนเคยเชื่อว่า เป็นตัวหนุน GDP ของไทย พอตัวเลขไม่เป็นไปตามคาดจึงลบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง (สายการบิน สนามบิน ค้าปลีก โรงแรม อาหาร)
• มาตรการ หรือการตรวจสอบการซื้อขาย (Short Sell-Naked Short) ของ SET/SEC คาดจะทำให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดยังเบาบางต่อ
• ตัวเลข และ event สำคัญๆ วันนี้ นายกฯแถลงแผนแก้หนี้นอกระบบ รมว.คลัง/ผู้ว่า ธปท. ร่วมประชุม IMF/ World Bank Annual Meeting
Strategy
• ดัชนีฯเริ่มยืนได้ แต่ยังขาดแรงซื้อ แต่หากดัชนีฯกลับไปยืนเหนือ 1400 จุด ได้ บวกกับปริมาณซื้อขายสูงขึ้น (เกิน 4 หมื่นลบ.) จะเป็นจังหวะในการกลับเข้าซื้อเก็งกำไร โดยเลือกหุ้นในกลุ่มหลัก โรงพยาบาล(BDMS, BH) ปิโตรเคมี(IVL) ธนาคาร(SCB) โรงไฟฟ้า (BGRIM) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาสูงขึ้นวานนี้(27)
• วันนี้ นายกฯ จะแถลงแผนแก้หนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบวันที่ 12 ธ.ค. หุ้นที่เกี่ยวข้อง คือ ธนาคาร และสถาบันการเงิน (MTC, SAWAD, TIDLOR, KTC , AEONTS , JMT, CHAYO)
• วานนี้ PSL ติดอันดับหนึ่งในหุ้นที่ซื้อขาย ด้วย Program trading (140 ล้านบาท) การซื้อขายในวันนี้อาจมีความผันผวน (ลบ)
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ AAI เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตวันนี้ ประกอบไปด้วย AAI(10%), PLANB(10%), COM7(10%), AOT(10%), BBL(10%)
Strategy Stock Pick
AAI : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 4.00 บาท) “ ส่งออกค่อยๆ กลับมาดี ”
• ตัวเลขส่งออกอาหารสุนัข-แมว เดือน ต.ค.ขยายตัว 5.5% (เดือนก่อน -7.9%) ส่งสัญญาณ 4Q และปี 2024E ฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ AAI ยังมี catalyst จากการขยายลูกค้ารายใหม่ในสหรัฐฯ 2 รายในช่วงต้นปี 2024E
• เรามองเป็นบวกต่อส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงกลับมาโต YoY ในรอบ 1 ปี จาก inventory destocking ทยอยคลี่คลาย ขณะที่ส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปและส่งออกไก่ยังใกล้เคียงคาด
• กำไรปกติ 3Q23 (ไม่รวมขาดทุน Fx) อยู่ที่ 130 ล้านบาท (-51% YoY, +22% QoQ) กำไรปกติชะลอ YoY จากฐานสูงใน 3Q22 ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกค้ามีการเร่งสต็อกสินค้าจากความกังวลภาคขนส่ง ขณะที่กำไรปกติปรับตัวดีขึ้น QoQ
Technical: ITC, SINO
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,380 – 1,390 แนวต้าน 1,400 – 1,405 คาดได้แรงหนุนจากค่าบาทแข็งค่า แนะนำทยอยซื้อ TU,AAI ยอดส่งออกอาหารสัตว์ ต.ค. เพิ่มขึ้น/ DOHOME,CRC (+ม.กระตุ้นกำลังซื้อ) และเก็งกำไร PSL,TTA ตาม BDI ปรับขึ้น
CBG* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 88.25 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิงวด 3Q66 ที่ 530 ล้านบาท +10%QoQ, +11%YoY ด้วยปัจจัยหนุนจากรายได้รับจ้างผลิต OEM ทั้งการผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋อง ขวดแก้ว ลังกระดาษ รวมถึงขนส่งสินค้าให้กับบริษัทในเครือของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ เบียร์คาราบาว และเบียร์ตะวันแดง ช่วยชดเชยรายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังที่ลดลงในตลาด CLMV และจีน ส่วนในประเทศยังไปได้จากการคงราคาชายไว้ที่ 10 บาท ส่วนแนวโน้มใน 4Q66 และปีหน้าคาดฟื้นตัวจากยอดคำสั่งซื้อ Packaging ของแบรนด์สินค้าเบียร์ที่เพิ่งเปิดตัวเข้ามาเต็มปี ซึ่งจาก U-Rate ที่ดีขึ้นได้ Economy of scale จะช่วยเรื่อง GPM แม้ต้นทุนน้ำตาลขยับขึ้น ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66-67 อยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท -16%YoY และ 2.6 พันล้านบาท +35%YoY
STA* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 18.50 บาท) ผู้บริหารวางเป้า Volume ขายยางธรรมชาติ(NR) ในช่วง 4Q66 ที่ 2.8-3 แสนตัน และ ปี67 ที่ 1.5 ล้านตัน(จาก 9M66 ที่ 9.9 แสนตัน) ขณะที่ในด้าน Demand-Supply NR ในช่วงถัดไป แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาณการเพิ่มของ Demand ที่ชัดเจนแต่ Supply อยู่ในภาวะที่เริ่มไม่ล้นตลาดแล้วจาก 1.Supply ฝั่งอินโดนีเซียลดลง(เปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่น เช่น ถ่านหิน) และ 2.สภาพภูมิอากาศในปีเอลณีโญ(กระทบ Supply ยางไทยราว -10% ในปี66) ส่วนธุรกิจถุงมือยางคาดว่าจะมีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับผู้เล่นอื่นๆอย่าง Top Glove และ Hartalega ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์คิงส์ฟอร์ดคาดว่า ระยะสั้น STA* จะมี Sentiment บวกจาก 1.ม.กระตุ้นเศรษฐกิจของจีน 2.ตัวเลขส่งออกยางแท่งเดือนต.ค.66 ที่ +16.6%YoY +25.1%MoM 3.SICOM TSR20 Rubber Spot +6.8%QTD และ 4.ได้SET ESG Ratings AAA เข้าข่ายการลงทุนของกองทุน TESG โดย ปัจจุบัน Consensus คาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 ของ STA* ที่ 1,957 ลบ.(-59.2%YoY) และ 2,789ลบ.(+42.5%YoY)