สหรัฐ-เยอรมัน-ดัตช์ “เสริมยุทโธปกรณ์” ช่วยยูเครน-เศรษฐีญี่ปุ่นบริจาค 280 ล้าน
สหรัฐ-เยอรมัน-ดัตช์ “เสริมยุทโธปกรณ์” - วันที่ 27 ก.พ. บีบีซี รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาแถลงว่าจะส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่ากว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 11,350 ล้านบาทแก่ ยูเครน เพื่อรับมือกับการรุกรานของกองกำลังรัสเซีย ครอบคลุมถึงขีปนาวุธเจฟลิน ขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศต่อต้านเครื่องบินรบ และเสื้อเกราะ
ด้านรัฐบาลเยอรมนีระบุว่าจะเร่งส่งเครื่องยิงระเบิดต่อต้านรถถัง 1,000 เครื่อง และขีปนาวุธแบบภาคพื้นสู่อากาศสติงเจอร์อีก 500 ลูก รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศเสริมอาวุธป้องกันตัวให้แก่ยูเครน ประกอบด้วยเครื่องยิงระเบิดต่อต้านรถถัง แพนเซอร์ฟอสต์-3 50 เครื่อง และจรวด 400 ลูก
ส่วนองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แถลงว่าจะส่งกองกำลังตอบสนองรวดเร็ว 40,000 นายไปยังชาติพันธมิตรยุโรปตะวันออกเพื่อตรึงกำลังเฝ้าระวัง แต่ย้ำว่าจะไม่ส่งกำลังเข้าไปในยูเครน
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสกอต มอร์ริสัน ผู้นำออสเตรเลีย กล่าวหลังจากเดินทางไปร่วมพิธีสวดภาวนากับชาวยูเครน-ออสเตรเลียนที่โบสถ์ในนครซิดนีย์ ว่าจะช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจัดหาอาวุธให้กับยูเครนในการต่อสู้ป้องกันตัวจากกองกำลังรัสเซีย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียระบุว่าจะจัดหายุทโธปกรณ์ทางทหารที่ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ออสเตรเลียจะเดินหน้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและจะพยายามหาทางสนับสนุนทุกอย่างที่สามารถทำได้ผ่านพันธมิตรนาโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
นอกจากความช่วยเหลือระหว่างรัฐและองค์กรระหว่างประเทศแล้ว นายฮิโรชิ มิกิตานิ มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ราคุเต็น อีคอมเมิร์ซยักษณ์ใหญ่ของประเทศ กล่าวว่าจะบริจาคเงิน 8.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 280 ล้านบาทแก่รัฐบาลยูเครน พร้อมทั้งประณามการรุกรานของรัสเซียว่าเป็นความท้าทายของประชาธิปไตย
นายมิกิตานิส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีเซเลยสกี โดยข้อความส่วนหนึ่งกล่าวว่าตั้งใจจะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนชาวยูเครน ผู้ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงจากการโจมตีของรัสเซีย
นายมิกิตานิซึ่งเคยพบปะพูดคุยกับนายเซเลนสกีขณะเดินทางเยือนกรุงเคียฟเมื่อปี 2562 ระบุเชื่อว่าการเหยียบย่ำยูเครน ประเทศที่สงบสุขและเป็นประชาธิปไตยด้วยกำลังที่ไม่ยุติธรรมนั้นเป็นความท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตย ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัสเซียและยูเครนสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างสันติ และประชาชนชาวยูเครนจะมีสันติภาพอีกครั้ง