รองผู้ว่าฯ จาการ์ตา ประกาศบรรลุ "ภูมิคุ้มกันหมู่" หลังฉีดวัคซีนรุดหน้า-ผู้ป่วยลดฮวบ
วันนี้ (23 ส.ค.64) ตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรุงจาการ์ตาเผชิญกับวิกฤตการระบาดของโควิดครั้งรุนแรง จากผลของสายพันธุ์เดลต้า ทำให้โรงพยาบาลแน่นล้น ออกซิเจนขาดแคลน และผู้ป่วยเสียชีวิตที่บ้าน ไร้การรักษา โดยช่วงกลางกรกรฎาคม มีผู้เสียชีวิตรายวันสูงกว่า 1,000 คนทุกวัน
แต่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ป่วยรายวันในกรุงจาการ์ตาลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ค. กรุงจาการ์ตามีผู้ป่วยใหม่ 14,600 คน แต่เมื่อวันอาทิตย์ (22 ส.ค.) ผู้ป่วยรายวันลดเหลือ 700 คนเท่านั้น
“กรุงจาการ์ตากลายเป็นเขตสีเขียว และบรรลุภาวะภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว” อาห์หมัด ไรเซีย ปาเตรีย รองผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตาบอกกับผู้สื่อข่าว
แต่รองผู้ว่าฯ ไม่ได้พูดถึงภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดจากการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันประชากรมากกว่า 54% ของเมืองหลวงได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ก็ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม
ทั้งนี้ อัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศอยู่ที่ 11% เท่านั้น ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว นับแต่เริ่มโครงการวัคซีนเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ปันดู ริโอโน นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งอินโดนีเซีย ระบุว่า รองผู้ว่าฯ เข้าใจผิดถึงหลักการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แม้จะฉีดวัคซีนครบ 100% แต่ระบบภูมิคุ้มกันก็ยังต่ำกว่า 80% พร้อมเสริมว่า ศักยภาพของวัคซีนที่อินโดนีเซียใช้นั้น ได้ผลเพียง 55% เท่านั้น โดยเขาพูดถึงวัคซีนซิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนหลักที่อินโดนีเซียใช้ แต่ก็มีประชาชนบางส่วนได้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หรือซิโนฟาร์ม
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด คาดว่าจะประกาศในวันนี้ ถึงมาตรการทางสังคมที่บังคับใช้มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมในเกาะชวาและบาหลี ว่าจะผ่อนคลายลง หรือขยายเวลาต่อไปอีก เพราะแม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลงทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีผู้ป่วยใหม่รายวันถึง 12,000 คน เมื่อวันอาทิตย์ และยังถือเป็นศูนย์กลางการระบาดของเอเชีย