สงกรานต์ 2567 สาดให้ฉ่ำ 21 วัน จัดขบวนพาเหรด 16 จว. ดันติดเทศกาลระดับโลก
“สุดาวรรณ” ย้ำให้ ททท.โปรโมทต่างชาติเดินทางเข้าไทยร่วมงาน “เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567” ที่จะจัด 21 วันในเดือนเมษายนนี้ ดันให้ติดเทศกาลระดับโลกให้ได้
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในการเข้าร่วมงาน International Tourismus Borse หรือ ITB Berlin 2024 มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มี.ค. 2567 ที่ศูนย์การจัดนิทรรศการ Messe Berlin Exibition Ground กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ย้ำให้ผู้อำนวยการสำนักงานยุโรป ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งโปรโมทและชักชวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคยุโรปเดินทางไปเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย
โดยในปีนี้จะจัดอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1-21 เมษายน 2567 รวม 21 วัน เพื่อประชาสัมพันธ์เทศกาลสงกรานต์ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และผลักดันให้ประเทศไทยติดหนึ่งใน 10 ประเทศสุดยอดเทศกาลของโลก ภายใต้ชื่อ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ในโอกาสที่ยูเนสโก้ ประกาศขึ้นทะเบียนให้สงกรานต์ในประเทศไทยเป็นรายการในบัญชีตัวแทนตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ จะมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่กรุงเทพและพื้นที่อัตลักษณ์ห้าภูมิภาคทั่วประเทศไทย
“ในปีนี้จะมีการจัดขบวนรถพาเหรดสงกรานต์จากกลุ่มจังหวัดเป้าหมาย 16 จังหวัด 11 ซอฟพาวเวอร์ การจัดกิจกรรมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม โขนและรำมโนราห์ การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งกิจกรรมสงกรานต์ 5 ภาค เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ไทยที่โดดเด่นในแต่ละภูมิภาค”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวต่อไปว่า เพื่อตอบโจทย์ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทย IGNITE THAILAND ต้องการให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของโลก (Tourism Hub)และสอดรับกับการสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของโลก (Aviation Hub) ในวันที่ 15 มีนาคม 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือเวิร์คช็อปหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งสิ้น 60 หน่วยงานเพื่อตอบโจทย์ 4 มาตรการ ที่ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยได้อย่างก้าวกระโดด โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมด้วย
สำหรับ 4 มาตรการที่จะตั้งเป็นโจทย์ให้หารือกัน ประกอบด้วย
1.เมืองหลักและเมืองรองต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว เฟ้นหา Soft Power เพื่อหาเสน่ห์ของประเทศไทย โดยต้องหาจุดขายที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดและความต้องการของนักท่องเที่ยว ทำให้การเดินทางเข้าถึงที่สะดวกและปลอดภัย มีการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งต้องเตรียมพร้อมระบบด้านสาธารณูปโภคและการบริหารจัดการที่ดี
2.การสนับสนุนให้มีเทศกาลระดับโลก ประเทศไทยจะไม่หลับใหล จะมีงานเทศกาล งานคอนเสิร์ต งานศิลปะ งานแสดงสินค้าในประเทศไทยตลอดทั้งปี และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เป็นเม็ดเงินลงทุนหลักแสนล้านบาท
3. ผลักดันการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะต้องมีการยกเว้นการตรวจลงตราหรือ VISA FREE ให้นักท่องเที่ยว เช่น ที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการแล้วกับนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน เพื่อเปิดประตูรอรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเฉพาะประชากรจากชาติดังกล่าวรวมกันมีมากถึง 2,900 ล้านคน โดยแนวทางการขับเคลื่อนต้องบริหารการจัดการโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมมีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเข้า – ออกประเทศ มีการบริหารจัดการกระแสการเดินทางที่ไม่ทำให้เกิดการกระจุกตัว ไม่ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม และการนำเสนอและบริหารภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยที่ปลอดภัย มีคุณค่าและยั่งยืน
4.การแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ปรับเวลาเปิดสถานบริการ ปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สนับสนุนการเฉลิมฉลองในสนามกีฬา ซึ่งจะต้องรับฟังความเห็นจากนักท่องเที่ยวและผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันการแก้ไขปัญหาพร้อมบังคับใช้กฎหมายการหลอกหลวง และมีการช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวด้วย
“ทั้ง 4 แนวทางดังกล่าวจะต้องมีการติดตามความเห็นของนักท่องเที่ยวต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวในไทยผ่านช่องทางต่างๆ ที่สำคัญต้องเตรียมความพร้อมของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยเมื่อได้เวิร์คชอปและจัดทำแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะประกาศแผนเดินหน้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก ภายในเดือนมีนาคมนี้”
ภาพจาก AFP