คืบหน้าตึกสตง. ถล่ม! ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำหน้าที่เราคือเอาทุกคนกลับบ้านให้ได้

วันนี้ (11 เม.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงกรณีเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบสัญญาณชีพที่ซากตึกสตง. ที่พังถล่มว่า หลังจากเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.68) ทีมเจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือหนักในการรื้อซากอาคารตลอดทั้งคืนจนถึงเวลา 06.00 น. ของวันนี้ ซึ่งตนออกจากพื้นที่เมื่อเวลา 07.00 น. ในช่วงขั้นตอนการเปิดโพรงหรือช่องตามขั้นตอนในการหาผู้สูญหาย โดยให้ทีมกู้ชีพทำการสำรวจ จนพบว่าช่องในโซน B มีแสงไฟส่องขึ้นมาบนเครื่องมือสแกน แต่ยังไม่ชัดเจน แต่นับได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทำให้มีความคาดหวังที่ดี ซึ่งจะต้องทำการค้นหาต่อด้านใน

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อว่า นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานว่ามีแสงไฟเปิดปิดขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มา  ส่วนยืนยันได้หรือไม่ว่าเป็นแสงไฟจากโทรศัพท์นั้นเป็นเรื่องยากเพราะแบตเตอรีโทรศัพท์มือถือจะอยู่ได้ถึง 14 วัน แต่ก็เป็นความหวัง แต่อยากให้เตรียมไว้ใจทั้ง 2 ด้าน ทั้งนี้จะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้พยายามขุดลงไปได้แล้ว 2 เมตร จากความลึก 3 เมตร ซึ่งเหลืออีกไม่มาก ตอนนี้พยายามเปิดโพรงและใช้กล้องส่องลงไปให้ลึกมากที่สุด 

ส่วนหลังจากนี้จะมีการปรับแผนค้นหาผู้สูญหายและกู้ซากอาคารหรือไม่นั้นต้องดูสภาพหน้างาน เราใช้เครื่องมือหนักทำงานก่อน พอถึงตอนเช้าใช้กำลังคนเข้าค้นหา การทำงานขึ้นอยู่กับสถานการณ์หน้างานแต่ละวันว่าพบผู้มีชีวิตหรือผู้เสียชีวิต เช่นวันนี้เจอสัญญาณที่พบว่าอาจจะมีความหวังก็ต้องปรับแผนค้นหาผู้มีชีวิต อย่างไรก็ตามในโซนด้านหน้าคือ โซน A D C ยังคงใช้เครื่องมือหนักทำงานเพราะอยู่ห่างจากจุดที่พบสัญญาณชีพไกลพอสมควร ซึ่งปลอดภัยกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ส่วนแผนจะพยายามลดความสูงของซากอาคารให้มากที่สุด และทยอยเปิดโซน B และ C ต่อไป

“หน้าที่เราคือเอาทุกคนกลับบ้านให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร และความหวังยังมีตลอด จนกระทั่งคนสุดท้ายออกจากไซต์ เซ่นวันนี้ก็เป็นความหวังเล็กๆ เชื่อว่าหลายคนมีสุขภาพที่แข็งแรง อดทน และอาจจะทนอดอาหารและน้ำได้ ในต่างประเทศเคยมีคนติดในซากอาคาร 2 สัปดาห์ยังรอดชีวิตก็มี ซึ่งวันนี้ก็ครบ 2 สัปดาห์ 

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ที่ผ่านมามีฝนตกลงมาทำให้มีน้ำไหลลงไปด้านล่าง ดังนั้นอย่าไปหมดหวัง เป้าหมายภารกิจคือเอาทุกคนออกมาให้ได้” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

ด้าน นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า สำหรับยอดผู้ประสบเหตุจากอาคาร สตง. ณ เวลา 16.00 น. มีจำนวน 103 ราย เสียชีวิต 27 ราย บาดเจ็บ 9 ราย อยู่ระหว่างติดตาม 67 ราย

ส่วนการแจ้งเหตุอาคารมีรอยร้าวจากประชาชนใน Traffy Fondue รวมทั้งสิ้น 19,163 เคส แบ่งเป็น ปลอดภัยต่อการใช้งาน (เขียว) 17,225 เคส เหลือง 387 เคส สีแดง 34 เคส (2 อาคาร) อยู่ระหว่างการตรวจสอบ 1,517 เคส 

ทั้งนี้ มีหนังสือแจ้งเข้าของอาคาร ผู้ครอบครองอาคาร ให้ดำเนินการประสานผู้ตรวจสอบอาคารเข้าตรวจสอบ  โดยแจ้งเจ้าของอาคารแล้วกว่า 5,000 โครงการ แจ้งว่าปลอดภัยต่อการใช้งานสะสม 2,938 โครงการ รายงานซ่อมแซมเฉพาะจุด 173 โครงการ และมีหนังสือแจ้งเข้าของอาคาร ผู้รับเหมาให้ระงับการใช้เครน จนกว่าจะมีการตรวจสอบ ซึ่งเครนมีจำนวน  201 โครงการ รายงานว่าปลอดภัยแล้ว 123 โครงการ 

ด้านการดูแลช่วยเหลือประชาชน และการเยียวยา/การช่วยเหลือ สถานะล่าสุด ยอดรวมที่ดำเนินการลงเบียนกับ Airbnb แล้ว จำนวน 613 ครัวเรือน 1. คอนโดไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์ เขตจตุจักร - คอนโดสกายไรส์ อเวนิว สุขุมวิท 64 เขตพระโนขง จำนวน 436 ครัวเรือน 2. คอนโด/ที่พักอื่นๆ คัดเลือกจากกลุ่มเปราะบาง และความจำเป็น เช่น ผู้ประสบภัยที่เข้าอาคารไม่ได้ อาศัยอยู่จริงก่อนเกิดเหตุ แผ่นดินไหว คนพิการ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ดูแลบุคคลที่ไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้ขาดความสามารถ ในการหาที่อยู่ โรคประจำตัว รายได้ อาชีพ จำนวนคนในครัวเรือน เป็นต้น จำนวน 177 ครัวเรือน รวมทั้งศูนย์พักพิง โรงเรียนวัดเสมียนนารี เขตจตุจักร รองรับได้ 150 คน ว่าง 150 ที่ และศูนย์พักคอยญาติ เขตจตุจักร จำนวน 1 แห่ง รองรับได้ 82 คน เข้าพัก 73 คน ว่าง 9 ที่ 

สำหรับการเยียวยาตามระเบียบ กทม. ว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 ผู้ประสบภัย สามารถแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ทุกแห่ง ภายใน 30 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ (ภายในวันที่ 27 เมษายน 2568) โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาอำนวยความสะดวก รับแจ้งความที่สำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต ในเวลาราชการ โดยการประเมินเป็นไปตามการประเมินของคณะกรรมการระดับเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นหน่วยดำเนินการสำรวจและประเมินความเสียหายโดยรายงานไปยังสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่อไป