สรุป “ไทม์ไลน์” “ราคาทอง” สู่ New All Time High ภายใต้ “ภาษีสหรัฐฯ”

ทองคำเริ่มมีบทบาทกับระบบเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่เริ่มต้นค.ศ.1800 ที่สหราชอาณาจักรได้เริ่มผูกค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงไว้กับปริมาณทองคำ เกิดเป็นระบบมาตรฐานทองคำ Gold Standard ที่เงินตราทั่วโลกผูกติดกับทองคำ ทำให้ทองคำเลยกลายเป็น backbone หรือกระดูกสันหลังของระบบการเงินมานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ราคาทองคำทำจุดสูงสุดครั้งแรกในเดือนมกราคม 1980 ที่ 875 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ จากวิกฤติ “The Great Inflation” เงินเฟ้อครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และวิกฤติสงคราม “Yom Kippur” รวมถึงวิกฤติน้ำมัน และ Stagflation
ราคาทองคำเข้าสู่ยุคที่ "ถูกลืม" ของทองคำ หรือ "Lost Decade" โดยราคาทองคำลงมาทำจุดต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 1985 ที่ 281 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
IMF เทขายทองเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาจากวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” จนทำให้ราคาทองคำลงสู่จุดต่ำสุดอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 1999 โดยราคาทองคำอยู่ที่ 252 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
เหตุการณ์ 9/11 และการก่อตั้ง SPDR Gold Trust กองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งผลให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนมีนาคม 2008 ที่ 1,035 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
วิกฤติหนี้ “กรีซ” และความกังวลเงินเฟ้อจากการทำ QE ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนกันยายน 2011 ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
สหรัฐฯยกเลิกการทำ QE นักลงทุนเทขายทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงในเดือนธันวาคม 2015 ที่ 1,046 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ส่งผลให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนสิงหาคม 2020 ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
การปะทุขึ้นของความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และอิสราเอลกับฮามาส ส่งผลให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนตุลาคม 2022 ที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
ความกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ในเดือนเมษายน 2025 ที่ 3,520 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
ตั้งแต่เริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ในปี 2000 ทองคำให้ผลตอบแทนมากกว่า 130% เมื่อเทียบกับราคาสูงสุดในเดือนเมษายน 2025