ผอ.นโยบายเพื่อไทย ชงรัฐ ช่วยค่าแรง ที่ถูกสั่งลดเวลา ในพื้นที่ 'โควิด' สีแดง
ผอ.นโยบาย พรรคเพื่อไทย 'เผ่าภูมิ โรจนสกุล' จี้รัฐบาล ทำ “มาตรการคงการจ้างงาน” ช่วยค่าแรงภาคเอกชน ที่ถูกสั่งปิด - ลดเวลา ในเขตพื้นที่สีแดง
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผอ.ศูนย์นโยบายฯ พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานอนุกรรมการนโยบายด้านแรงงานพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลดผลกระทบจากการของล็อกดาวน์ในส่วนของภาคเอกชนและภาคแรงงานว่า
มาตรการคงการจ้างงาน หรือมาตรการรักษาระดับการจ้างงาน (Job retention schemes) ผ่านการอุดหนุนค่าจ้างจากภาครัฐไปที่บริษัทเอกชน โดยให้เอกชนรักษาระดับการจ้างงานไว้ไม่น้อยกว่ากำหนดนั้น เป็นข้อควรปฏิบัติแรกๆ ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันผลกระทบจากการล็อกดาวน์ จะสนับสนุนมากน้อยขึ้นอยู่กับศักยภาพทางการคลังของรัฐบาลนั้นๆ ระดับความรุนแรงของการล็อกดาวน์
และระยะเวลาของการล็อกดาวน์ ความผิดพลาดของรัฐบาลไทยในการระบาดรอบแรก คือการขาดมาตรการลักษณะนี้ ปล่อยให้บริษัทปลดคนงานอย่างรวดเร็ว และรุนแรง ประชาชนตกงาน ขาดรายได้ ต้องก่อหนี้ สร้างปัญหาหนี้ครัวเรือน ลามไปถึงแรงงานและธุรกิจผิดนัดชำระหนี้
ส่งผลไปยังหนี้ในระบบธนาคาร นอกจากนั้นภาระค่าจ้างในช่วงขาดรายได้จากการล็อกดาวน์นั้นทำให้เอกชนจำนวนมากต้องปิดตัวลงโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นหากภาครัฐมีการสนับสนุนตรงนี้อย่างสมเหตุสมผล และทันเวลา
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า สำหรับการระบาดระลอกนี้ เห็นว่าในระยะแรกรัฐบาลควรพิจารณามาตรการคงการจ้างงาน โดยอย่างน้อยต้องสนับสนุนค่าจ้างของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการคําสั่ง ศบค. ที่ 1/2564 หรือคำสั่งอื่นจากภาครัฐที่ให้ห้ามเอกชนดำเนินกิจการ
หรือลดชั่วโมงการดำเนินกิจการ ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่สีแดงในปัจจุบันซึ่งมีทั้งสิ้น 28 จังหวัดโดยทันที เพื่อประคองระดับการจ้างงานอย่างน้อยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และหากมีการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุด ก็ควรปรับมาตรการให้สอดคล้องกับความรุนแรงเป็นระยะๆ
มาตรการคงการจ้างงานควรใช้ระบบขั้นบันไดในการสนับสนุนค่าจ้าง ตามลักษณะของธุรกิจ ตามความเป็นไปได้ของการรอดของธุรกิจ และตามรุนแรงของผลกระทบ นอกจากนั้นควรปรับอัตราการสนับสนุนขึ้นลงตามระยะของการล็อกดาวน์ว่าอยู่ในช่วงการระบาดด้วยอัตราเร่ง
หรืออยู่ในช่วงการฟื้นตัว ทั้งนี้ พึงระลึกเสมอว่าในปัจจุบันผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดโดยตรงด้านสุขภาพ ยังน้อยกว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของภาครัฐที่ใช้สกัดโควิดอยู่มาก จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลที่รักษาความสมดุล และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม และทันท่วงที