MEGAครึ่งหลังยอดขายเร่งตัว ลุยลงทุนอินโดนีเซีย-เวียดนาม

#MEGA #ทันหุ้น - MEGA ครึ่งปีหลังโตต่อ มั่นใจยอดขายปีนี้เติบโต 5-8% ตาเมป้า มองความต้องการยา-อาหารเสริมยังขยายตัวดีต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าลงทุนทั้งในอินโดนีเซีย และเวียดนามเร่งผลิตสินค้าดันกำไรโตตามเป้า 3 ปีแตะ 2.4 พันล้านบาท ด้านเมียนมาสถานการณ์ไม่น่ากังวล ปัจจุบันยังสร้างยอดขายได้ดี นักวิเคราะห์คาดปีนี้กำไรโต 38.13% YoY แนะ “ซื้อ” ให้เป้า 57 บาท คาดอัตราการจ่ายเงินปันผล 4.9%
นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า บริษัทยังคงประมาณการรายได้รวมทั้งปี 2567 เติบโตขึ้นได้ราว 5 – 8% จากรายได้รวมราว 1.57 หมื่นล้านบาทเมื่อปี 2566 หนุนจากยอดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์หลักทั้งกลุ่มอาหารเสริม และเวชภัณฑ์ยาซึ่งมีสัดส่วนราว 70% ของยอดขายรวม พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ให้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 45 – 46% ต่อเนื่องจากปี 2566
*ครึ่งหลังยอดขายโต
“โดยลักษณ์ทางธุรกิจของบริษัทไม่มีซีซั่น (Seasonal) แต่ยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปีมักจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเกิดจากการรีสต๊อก (Restock) ผลิตภัณฑ์ในช่วงปลายปีจากทั้งร้านขายยา และโรงพยาบาลซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงราว 90% ของยอดขายเรา เข้ามาเป็นปัจจัยหนุน”
สำหรับสถานการณ์ในประเทศเมียนมา แม้จะยังคงมีความตึงเครียดทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันความต้องการเวชภัณฑ์ยายังคงทรงตัวระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้เติบโตสอดคล้องกับความต้องการในเมียนมา ขณะเดียวกันบริษัทยังคงศึกษาแผนการเติบโตร่วมกับพันธมิตร (Partners) ท้องถิ่นที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในอนาคต
“ธุรกิจในเมียนมาทั้งยอดขาย และกำไรยังคงเติบโต แต่ยังไม่สามารถขยายฐานการตลาดให้ครอบคลุม และเร่งตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้ อย่างไรก็ตามตลาดนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ถึงสองหลัก (Double digit) ในอนาคต บริษัทจึงมีแผนที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในการขยายฐานการตลาดให้ครอบคลุมอีกหลายพื้นที่ในอนาคต”
ส่วนประเทศอินโดนีเซีย บริษัทประมาณการยอดขายในประเทศอินโดนีเซีย เฉลี่ยทั้งปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และยอดขายในประเทศไทยคาดว่าจะยังสามารถเติบโตได้ราว 4-5% YoY (low single digits)
*คงเป้า3ปีกำไร4.2พันล.
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยา และอาหารเสริมใหม่อีกประมาณ 42 รายการ (SKUs) แบ่งเป็นกลุ่มอาหารเสริม 13 SKUs และผลิตภัณฑ์ยาอีก 29 SKUs มุ่งสร้างการเติบโตรายได้จากธุรกิจสินค้าแบรนด์ในระยะยาว
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิภายใน 3 ปี (2567 – 2569) ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 2,400 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณการลงทุนที่ราว 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยา แบ่งเป็นในประเทศอินโดนีเซียราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อผลิตยา และจดทะเบียนภายในประเทศอินโดนีเซีย รองรับการขยายฐานการตลาดภายในประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก
โดยตั้งเป้ายอดขายเร่งตัวแตะราว 40-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 3 ปี ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตยาในประเทศเวียดนาม โดยตั้งงบประมาณเบื้องต้นไว้ที่ราว 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เบื้องต้นคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
“ทั้งอินโดนีเซีย และเวียดนาม ให้สิทธิผู้ผลิตยาภายในประเทศสามารถจดทะเบียน และขยายฐานการตลาดในประเทศได้อย่างเสรี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้มีปริมาณประชากรเป็นจำนวนมาก ทั้งยังสามารถขยายตัวได้อีกมากในอนาคต ดังนั้นแผนการลงทุนใน 2 ประเทศนี้จึงมีส่วนสนับสนุนรายได้ กำไรของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต”
เช่นเดียวกับประเทศไนจีเรีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา ที่แม้ระยะสั้นกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในปี 2567 นี้ความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลไนรา เมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มมีแนวโน้มทรงตัว ประกอบกับบริษัทสามารถปรับราคาผลิตภัณฑ์ขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุนได้แล้ว ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มยาเริ่มกลับมาเติบโตได้
ดังนั้นบริษัทจึงคงแผนการขยายฐานการตลาดทั้งผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้ครอบคลุมทั่วทวีปแอฟริกาในระยะ 3 – 5 ปีข้างหน้าเนื่องจากเป็นอีกภูมิภาคหนึ่งที่มีอัตราประชากรเป็นจำนวนมาก
*แนะ “ซื้อ” เป้า 57 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คาดการณ์ว่ากำไรของ MEGA จะดีขึ้นในช่วงไตรมาสต่อๆ ไป เนื่องจาก MEGA จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 40 รายการในปีนี้ ประกอบกับคาดการณ์ว่าสภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (2H67) จะดีขึ้น จึงเชื่อรายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ หนุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
ในขณะที่รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายน่าจะคงที่ โดยรวมแล้ว อัตรากำไรขั้นต้นควรจะขยายตัวจากสัดส่วนยอดขายของธุรกิจแบรนด์ที่สูงขึ้น จึงคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2567 ไว้ที่ 2,753 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 38.13% YoY คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 57 บาทพร้อมคาดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 4.9%