เปิดเหตุผล ทำไม "ส่งออกข้าวไทย" ร่วงเบอร์ 2 โลก ถูก "เวียดนาม" ขึ้นแซงหน้า ไปต่ออย่างไร?

ครึ่งปีแรก "เวียดนาม" แซงหน้า "ไทย" ขึ้นเบอร์ 2 ส่งออกข้าวสู่ตลาดโลก
เวียดนามแซงหน้าไทยไปแล้วในการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลก ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาไทยหล่นมาอยู่ที่ 3 เวียดนามขึ้นเป็นที่ 2 ส่วนอันดับ 1 แชมป์เก่าอินเดียยังไม่หลุดไปไหน เป็นความสำเร็จที่ทำให้เวียดนามสั่งปั้นแบรนด์ข้าวระดับชาติ และเร่งผลักดันส่งออกข้าวคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มราคา
ส่งออกข้าวเวียดนามกำลังมาแรง และทางการของเวียดนามกำลังใช้ช่วงเวลานี้เร่งพัฒนาผลผลิตเพื่อโกยเงินจากตลาดโลก ล่าสุดสื่อท้องถิ่นของเวียดนามได้รายงานว่า นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนาม ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันการส่งออกข้าว โดยเฉพาะข้าวคุณภาพสูงและข้าวออร์แกนิก พร้อมพัฒนาแบรนด์ข้าวระดับชาติ เพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับสองของโลก
คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นหลังจากพบข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเผยว่า เวียดนามสามารถแซงหน้าไทยขึ้นเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลกได้สำเร็จในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเวียดนาม จากเดิมที่อาจจะมุ่งเน้นเพียงแค่ปริมาณ หรือส่งออกให้ได้มากที่สุด มาสู่การยกระดับการเพิ่มมูลค่า เพื่อขายได้ในราคาที่ดีขึ้น สร้างรายได้เอาเงินเข้าสู่ประเทศได้มากขึ้น และเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมข้าวของเวียดนามยังคงต้องกับความท้าทายอีกหลายเรื่อง ตั้งแต่ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเป็นสินค้าเกษตรจึงเลี่ยงได้ยาก รวมถึงอุปสรรคด้านกฎระเบียบในตลาดใหญ่ๆที่มีความต้องการสูง ทั้งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ดังนั้นเพื่อรับมือทุกสิ่งที่บอกมา รัฐบาลเวียดนามจึงจำเป็นต้องสร้างยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งเน้นมูลค่ามากกว่าปริมาณ
นายกรัฐมนตรีของเวียดนามได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน โดยมีแผนริเริ่มสำคัญ คือ การส่งเสริมการเติบโตของการส่งออกข้าว การนำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ และการสร้างแบรนด์ข้าวระดับชาติ นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดให้มีการพัฒนาเพาะปลูกข้าวคุณภาพสูงในพื้นที่ 1 ล้านเฮกตาร์ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
กระทรวงเกษตรฯ ของเวียดนามเปิดเผยว่า ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 5.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปริมาณเพิ่มขึ้น 3.1% แต่ในทางกลับกัน มูลค่าลดลงเกือบ 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม คิดเป็นเกือบ 43% ของการส่งออกข้าวทั้งหมดของเวียดนาม ตามมาด้วยกานาซึ่งคิดเป็น 11.1% และไอวอรีโคสต์ 10.6%
ในบรรดา 15 ประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม บังกลาเทศ มีการเติบโตของมูลค่าสูงสุดถึง 188 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ราคาการส่งออกไปยังมาเลเซียลดลงถึง 58.5%
สำหรับปีนี้ทั้งปี(2568) กระทรวงเกษตรฯของเวียดนาม ได้ตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกข้าวเอาไว้ที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในปัจจุบันเอาไว้ให้ได้ พร้อมกับขยายตลาดข้าวหอม (fragrant rice) เจาะไปยังสหรัฐฯ ที่มีไทยและอินเดียเป็นผู้เล่นหลัก นอกจากนี้ยังมองหาแนวทางลดต้นทุนโลจิสติกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวไปยังตลาดต่าง ๆ ด้วย
ไทยส่งออกข้าวไทยได้ลดลง ทั้งในแง่ของปริมาณ และมูลค่า ปัจจัยจากค่าเงินบาทแข็ง-ราคาแพงกว่าชาติอื่น
ข้อมูลจากกรมศุลกากร ระบุว่า 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2568) ไทยส่งออกข้าวไปต่างประเทศที่ปริมาณ 3,729,264 ตัน มูลค่า 75,578.5 ล้านบาท หรือ 2,259 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งออกได้ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า โดยส่วนของปริมาณลดลง 27.3% และมูลค่าลดลง 36.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน (2567)
สำหรับชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมาคือข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย ขณะที่ประเทศที่นำเข้าข้าวไทย 5 อันดับแรก 6 เดือนที่ผ่านมา อันดับที่ 1 คือ อิรัก 15.6% รองลงมาเป็นสหรัฐฯ 7.4% ในขณะที่ตลาดแอฟริกานำเข้าข้าวไทยลดลง 2.5% แต่ในฝั่งของเอเชีย ประเทศจีน ได้นำเข้าข้าวไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นถึง 110%
ประเทศที่ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของการส่งออกข้าวของโลก ยังคงเป็น อินเดีย โดย 6 เดือนแรก อินเดียส่งออกได้ 11.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 36.5% รองลงมาเป็นเวียดนาม ส่งอออกปริมาณ 4.72 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3.6% ในขณะที่ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 3 ส่งออกปริมาณ 3.73 ล้านตัน ลดลง 27.3% ตามด้วยปากีสถาน ปริมาณ 2.76 ล้านตัน ลดลง 20.2% และสหรัฐฯ ส่งออกปริมาณ 1.40 ล้านตัน ลดลง 23.5%
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกข้าวเวลานี้ เกิดภาวะอุปทานข้าวล้นตลาด จากการที่ประเทศผู้ผลิตข้าวที่สำคัญมีผลผลิตข้าวมากขึ้น และส่งผลให้ความต้องการนำเข้าข้าวชะลอลง จึงทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดนั้นยังคงเป็นไปอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอินเดียที่กลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งในปริมาณมากแถมยังมีสต็อกข้าวในประเทศอยู่เยอะ ส่วนอินโดนีเซียก็ลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม สมาคมฯคาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน
และตอนนี้ราคาของข้าวไทยนั้นแพงกว่าราคาข้าวจากชาติคู่แข่ง ทั้งนี้ราคาข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 387 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อยู่ที่ 384-388 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน อินเดีย 377-381 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และปากีสถาน 376-380ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 402 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดีย 377-381 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และปากีสถานอยู่ที่ 386-390ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน
นอกจากนี้ยังมีปมเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา สวนทางกับชาติคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนามและอินเดีย นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย ซึ่งหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าโดยตรง
พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง ขณะที่ความต้องการลดลง ขณะเดียวกัน ราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
ที่สำคัญ คือ คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่าก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ดังนั้นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง พร้อมเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่มซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ข้าวเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีผลต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ หากการส่งออกมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และต้นทุนการผลิต และได้เริ่มโครงการธงเขียวเพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศประสานทูตพาณิชย์เร่งติดต่อกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน
นอกจากนี้ ยังเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ
อนาคตข้าวไทยจะไปในทิศทางไหน เราจะกลับมาแซงหน้าได้อีกหรือไม่ ความเป็นอยู่ชาวนาจะดีขึ้นหรือเปล่า นี่ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นความหวังของคนไทยทุกคน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
