รีเซต

ส่องอนาคต DIF ปี 68

ส่องอนาคต DIF ปี 68
ทันหุ้น
19 พฤศจิกายน 2567 ( 12:14 )
3
ส่องอนาคต DIF ปี 68

#DIF #ทันหุ้น – ภายหลังจาก DIF แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 โบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์ในวันที่ 14-15 พ.ย.67 โบรกเกอร์ 2 รายแนะนำ “ถือ” ให้ราคา 9.20-9.30 บาท โบรกเกอร์อีก 4 ราย แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเหมาะสม 10.40-11.50 บาท โดยโบรกเกอร์มีมุมมองที่แตกต่างกันดังนี้

.

บล.เมย์แบงก์ : "ถือ" เพื่อรับอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 9.5% ในปี 67-69

บล.เมย์แบงก์ปรับคำแนะนำจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ" ราคาเป้าหมายเดิมที่ 9 20 บาท

เราได้ลดคำแนะนำจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ" เนื่องจากราคาหุ้นได้แตะราคาเป้าหมายของเราแล้วหลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 18% ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. (เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 18 ก.ย.) เราแนะนำ "ถือ" เพื่อรับอัตราผลตอบแทนที่ 9.5% ต่อปีในปี 67-69

 

ทั้งนี้ DIF รายงานกำไรหลักในไตรมาส 3/67 ที่ 2.9 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY และ QoQ) และเราคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/67 จะทรงตัว QoQ ราคาเป้าหมายตามวิธี DCF ยังคงอยู่ที่ 9.20 บาท (WACC ที่ 7.3%) DIF มีระยะเวลาสัญญาเช่าคงเหลือเฉลี่ย 14 ปี (คำนวณค่าเฉลี่ยด้วยการถ่วงน้ำหนัก EBITDA) โดยสัญญาเช่าเสาและไฟเบอร์จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย. 76และ ก.ย. 86 ตามลำดับ ขณะนี้ DIF มี IRR ที่ 5.8% ซึ่ง ต่ำกว่า 3BBIF ที่ 6.5% และ CPNREIT ที่ 6.5%

 

กำไรหลักไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาทตามที่คาดการณ์

DIF รายงานกำไรจากการลงทุนสุทธิในไตรมาส 3/67 ที่ 2.9 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY และ QoQ)สอดคล้องกับที่เราและตลาดคาด โดยรายได้จากการลงทุนสุทธิในงวด 9 เดือน 2567 คิดเป็น 74% ของประมาณการทั้งปีของเรา เราคาดว่ารายได้จากการลงทุนสุทธิในไตรมาส 4/67 จะอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท (+1% YoY, ทรงตัว QoQ)

 

เงินปันผลต่อหน่วย (DPU) ที่ 0.22 บาทในไตรมาส 3/67

DIF ประกาศจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยในไตรมาส 3/67 ที่ 0.222 บาท ซึ่งเท่ากับ DPU ในไตรมาส 1/67 และ ไตรมาส 2/67 โดยวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD คือ 14 พ.ย. และวันจ่ายเงินปันผลคือ 6 ธ.ค. เราคาดการณ์ DPU ในปีงบ 67-68 ที่ 0.88 บาทต่อหน่วย คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 9.5% โดยการลดอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 25bps จะส่งผลให้อัตรา DPU เพิ่มขึ้น 0.6% เนื่องจากสินเชื่อของ DIF เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อัตราดอกเบี้ยของ DIF ในปีงบ 68 จะอ้างอิงจาก THOR + 3.0% และ THOR + 3.5% (ซึ่งขณะนี้คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยเท่ากับ 5.5%)

 

ความเสี่ยงจากการเจรจารีไฟแนนซ์หนี้

หนี้ของ DIF มูลค่า 1.16 หมื่นล้านบาท (ตามสัญญาเงินกู้ฉบับที่ 4) จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.68 และกองทุนมีแผนจะเริ่มเจรจากับธนาคารในไตรมาส 4/67 เกี่ยวกับสัดส่วนการชำระคืนเงินต้นและตารางเวลาในการชำระ หากการชำระคืนเงินต้นสูงกว่าที่คาดไว้อาจส่งผลลบต่อ DPU ของ DIF

.

บล.บัวหลวง : กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ปันผลสูง

DIF เสนออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าประทับใจ พร้อมกระแสเงินสดที่ชัดเจน แต่อาจมีดาวน์ไซด์ต่อประมาณการของเราหาก TRUE ต่อรองลดอัตราค่าเช่า เราเริ่มต้นให้คำแนะนำ โดยแนะนำ "ถือ" โดยให้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2568ด้วยวิธี DDM อยู่ที่ 9.30 บาท ที่อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นสามัญ (Ke) ที่ 8.46%

 

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงช่วยหนุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง

เราคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะซะลอตัวในปี 2567 ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bps ในเดือนธ.ค. และอาจปรับลดอีก 25bps ในต้นปี 2568การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงอย่าง DIF เนื่องจากต้นทุนการเงินที่ผันแปรจะลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิและกำไรหลักของบริษัท การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทุก 25bps อาจช่วยเพิ่มราคาเป้าหมายของเราที่ 0.07 บาท และเพิ่มประมาณการกำไรหลักของเราที่ 0.7% นอกจากนี้ DIF ยังอาจจะบันทึกกำไรเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าทางบัญชีของหนี้สินได้อีกด้วย

 

รายได้ที่หลากหลายและอัตราผลตอบแทนที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับ 3BBIF

จากประมาณการของเรา เราคาดว่า DIF จะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 10.2% ใน ปี 2567 และ 10.5% ในปี 2568ซึ่งทำให้ DIF เป็นหนึ่งในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่โดดเด่นใน SET แม้อัตราผลตอบแทนเหล่านี้จะต่ำกว่า 3BBIF ที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 12.3% ในปี 2567 และ 11.2% ในปี 2567 แต่ DIF มีแหล่งรายได้ที่หลากหลายกว่า โดยมีสัญญาเช่าระยะยาวกับ TRUE สำหรับเสาโทรคมนาคมและโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก (ในขณะที่ 3BBIF มีเพียงสายไฟเบอร์ออปติกให้เช่ากับ 3BB) การมีรายได้จากหลายแหล่งของ DIF ช่วยให้มีเสถียรภาพของรายได้มากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจเดียว

 

ความเป็นไปได้ที่ TRUE จะลดต้นทุนและผลกระทบที่มีต่อ DIF

ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ TRUE จะเจรจาลดอัตราค่าเช่ากับ DIF (ตามตัวอย่างจาก ADVANC ที่ได้เจรจาลดค่าเช่าสัญญากับ 3BBIF ในปี 2566 หลังจากที่เข้าซื้อกิจการ 3BB ซึ่งทำให้การจ่ายเงินปันผลของ 3BBIF ลดลงอย่างมากและราคาหุ้นปรับตัวลง) TRUE ปัจจุบันจ่ายค่าเช่าเสาของ DIF ปีละประมาณ 5.1 พันล้านบาท การเจรจาลดค่าเช่าดังกล่าวอาจช่วยให้ TRUE สามารถเพิ่มกำไรได้เร็วขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการกัน DTACอย่างไรก็ตาม เราคาดว่าการลดค่าเช่าสายไฟเบอร์ออปติกของ DIF นั้นไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากอัตราค่าเช่าปัจจุบันต่ำกว่าที่ 3BBIF เก็บจาก 3BB อย่างมีนัยสำคัญ

 

โอกาสการเติบโตในธุรกิจ FOC

เราไม่คาดว่าอัตราการใช้พื้นที่ของเสาโทรคมนาคมของ DIF จะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เนื่องจาก TRUE มีเสาเพียงพอแล้วและจำนวนผู้ใช้บริการมือถือไม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบรอดแบนด์ของ TRUE มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยหนุนจากการขยายการเข้าถึงตลาดและส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ ARPU ของ TRUE ในธุรกิจบรอดแบนด์ยังบ่งชี้ถึงการแข่งขันที่เบาบางลง ปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยเพิ่มอัตราการใช้พื้นที่ของสายไฟเบอร์ออปติกของ DIF ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการใช้ที่ 78%

.

บล.กสิกรไทย : CF สุทธิและ DPU ที่มีเสถียรภาพเป็นจุดขายหลัก

จากแนวโน้มรายได้ที่ทรงตัว เราคาดว่า DPU ไตรมาส 4/67 จะอยู่ที่ 0.222 บาท และเพิ่มขึ้นเป็น 0.87 และ 0.87 บาท ในปี 68-69

 

เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" DIF และ TP สิ้นปี 68 ที่ 11.10 บาท เราคาดว่า DIF นำจะเสนอ market IRR ที่ 8.6% อิงจากกรณีฐานของเรา ซึ่ง DIF จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตลอดไป

 

ความคืบหน้า เราคาด DPU ไตรมาส 4/2567 ของ DIF จะทรงตัวที่ 0.222 บาท โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่มีแนวโน้มมั่นคง นอกจากนี้ DIF ยังมีเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ได้แก่ 1) สิทธิในการซื้อสินทรัพย์โทรคมนาคมจาก BFKT มูลค่า 10 ลบ. และการโอนกรรมสิทธิ์จากสิทธิในการรับรายได้สุทธิของสินทรัพย์โทรคมนาคมของ AWC ให้กับ DIF และ 2) การเจรจาชำระหนี้ฉบับที่ 4 มูลค่า 1.16 หมื่นลบ. ซึ่งจะครบกำหนดชำระในเดือน มี.ค. 2568เราคาดว่าธุรกรรมสำหรับสิทธิในการซื้อ (call option) และการโอนกรรมสิทธิ์จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่ง DIF จะมีสินทรัพย์ freehold เพิ่มขึ้น โดยได้รับค่าเช่าสุทธิซึ่งจะเท่ากับค่าเช่า

 

สุทธิในปี 2567เป็นอย่างน้อย แม้เราจะยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับจำนวนเงินชำระหนี้ใหม่ แต่เราประเมินว่า DIF จะชำระหนี้คืน 1.25 พันลบ. ในปี 2568-69 ซึ่งน่าจะส่งผลให้สมมติฐาน DPUของเราอยู่ที่ 0.87 บาท สำหรับทั้ง 2 ปี บ่งชี้ถึงแนวโน้ม DPU ที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2567

 

Valuation and Recommendation

แนะนำ "ซื้อ" เราปรับปีฐานประมาณการกระแสเงินสดของเราจากกลางปี 2568 ไปเป็นสิ้นปี 2568 โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 11.10 บาท และคงคำแนะนำ "ซื้อ" DIF ปัจจัยหนุนตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่ 1) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มลดลง 2) คำชี้แจงของ TRUE เกี่ยวกับการสร้างรายได้จากเสาสัญญาณมือถือ 3) กระแสเงินสดสุทธิและ DPU มีแนวโน้มทรงตัว ขณะที่ market IRR ที่เราคำนวณได้อยู่ที่ 8.6% สะท้อนกรณี perpetuity

 

กรณีแย่ที่สุดเราประเมินสถานการณ์ที่แย่ที่สุด คือ 1) จะไม่มีการต่อสัญญาเช่าทรัพย์สินเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่หลังจากปี 2576 2) TRUE ตัดสินใจซื้อคืนเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่จาก DIF ในราคาต้นละ 1 ลบ. และ 3) จะไม่มีการต่อสัญญาเช่าสินทรัพย์ FOC หลังจากปี 2586 โดยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ market IRR อยู่ที่ 4.7% DPU สะสมจนถึงวันเช่า FOC สิ้นสุดในปี 2586 อยู่ที่ 12.90 บาท และมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 8.70 บาท

.

บล.กรุงศรี : กำไรจากการลงทุนและเงินปันผลเป็นไปตามคาด

เรามอง Neutral ต่อไตรมาส 3/67 มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 2,696 ลบ. (ทรงตัว y-y +1%q-q) หากหักรายการทางบัญชีที่เป็นผลขาดทุน -220 ลบ. กองทุนฯ มีกำไรจากการลงทุน 2,616 ลบ. ทรงตัวตามรายได้ค่าใช้จ่าย และค่าใช้จ่ายการเงินลดลง q-q ส่วนเงินปันผลไตรมาส 3/67 จ่ายอัตราหน่วยละ 0.22 บาท (yield 2.4%) ขึ้น XD 14 พ.ย. แนวโน้มไตรมาส 4/67 คาดจ่ายเงินปันผลเท่ากับไตรมาส 3/67 ยังคงประมาณการปี 67 คาดจ่ายเงินปันผลหน่วยละ 0.88 บาท (yield 9.5%) แนะนำ Buy สำหรับ DIF

 

คาดไตรมาส 4/67 จ่ายเงินปันผลเท่ากับไตรมาส 3/67

ในไตรมาส 4/67 เราคาดว่ากองทุนฯ จะจ่ายเงินปันผลอัตราหน่วยละ 0.22 บาท (yield 2.4%) ทำให้ปี 67 คาดจ่ายเงินปันผลรวมหน่วยละ 0.88 บาท (yield 9.5%) ส่วนปี 68 คาดจ่ายเงินปันผลหน่วยละ 0.88 บาท เท่ากับปีนี้

นอกจากนี้การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และเพิ่มสภาพคล่องของกองทุนฯ โดยกองทุนฯ มีกำหนดจะ Refinance เงินกู้ 12,200ลบ. ช่วงไตรมาส 4/67 เราประเมินอัตราดอกเบี้ยลดลงทุก 0.25%จากอัตราเฉลี่ย 5.6% จะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลง 4% ต่อปี และคาดว่ามีโอกาสจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกราว 0.01 บาทต่อหน่วย

 

คำแนะนำ

คงแนะนำ Buy สำหรับ DIF (ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 11.50 บาท) วิธี DCF WACC 7.5% เนื่องจาก 1) ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง 2) มีโอกาสขยายอายุสัญญาอีก 10 ปีจากปี 2576 (เงื่อนไขรายได้บรอดแบนด์กลุ่ม TRUE เกิน 16,500 ลบ.) และ 3) มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มจากการลงทุนในทรัพย์สินประเภทเสาโทรคมนาคมหลัง TRUE และ DTAC รวมโครงข่ายเสร็จ ซึ่งคาดน่าจะเกิดหลังปี 2569

 

DIF หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิที่เกิดจากกลุ่มทรัพย์สิน (portfolio) ประเภทเสาโทรคมนาคมจำนวน 16,059 เสา ประกอบด้วย เสาที่กองทุนฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวน 9,727 เสา (ได้แก่ ทรัพย์สินเสาโทรคมนาคมของทรูและเสาโทรคมนาคมของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) ที่ลงทุนเพิ่มเติม ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4) และเสาที่กองทุนมีสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิจำนวน 6,332 เสา (ได้แก่ เสาโทรคมนาคมของบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด (BFKT) เสาโทรคมนาคมของบริษัท เอเซีย ไวร์เลส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (AWC) เสาโทรคมนาคมของ AWC ที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2) รวมทั้งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโทรคมนาคมของ BFKT และเสาโทรคมนาคมของ AWC จำนวนหนึ่ง ภายหลังจากวันครบกำหนดสัญญา HSPA และระบบใยแก้วนำแสง และระบบบรอดแบนด์ในพื้นที่ต่างจังหวัด

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง