เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัวในแดนลบกรอบ 1,535-1,550 จุด โดยถูกกดดันจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. สูงกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ตลาดคาด FED จะขึ้นดอกเบี้ยแรงในการประชุมปลายเดือนนี้ ทำให้ Dollar Index ยังยืนทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ Bond Yield 2Y ของสหรัฐฯพุ่งขึ้นแตะ 3.18% ขณะที่ 10Y แกว่งผันผวนและทรงตัวที่ 2.94% ทำให้ยังคงภาพ Inverted Yield Gap อย่างต่อเนื่องและกว้างขึ้น สะท้อนความกังวลโอกาสเกิด Recession ปีหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง
อย่างไรก็ตามยังคงมุมมองเดิมว่า SET Index จะแกว่งตัวได้แข็งแรงกว่าภูมิภาคอื่นจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อยู่ในทิศทางขาขึ้นจากการทยอยเปิดประเทศ ส่วนโฟกัสอยู่ที่การเริ่มประกาศผลประกอบการ 2Q22 ของกลุ่มธนาคารวันนี้ ยังมองแนวรับหลัก 1,500-1,520+- จุดจะทำงานได้ดีและเป็นโอกาสเข้าสะสมโดยคาดหวังการรีบาวด์ ส่วนหุ้นยังเน้นกลุ่ม Value Play ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริการจำเป็น
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Value and Defensive Play//รอสะสมหุ้นบริเวณ 1500-1,520+- จุด
หุ้นเด่นเดือนก.ค. : CK, CPN, GFPT, KTB, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้ : SAPPE
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท
• คาดกำไร 2Q22-3Q22 มีลุ้นทำ New High ต่อเนื่องจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อน ชดเชยต้นทุนที่ปรับขึ้นได้ทั้งหมด
• เราคาดกำไรปี 2023-2025 จะโตเฉลี่ย +18% CAGR น่าประทับใจโดยเฉพาะตลาดใหม่อย่างอินเดียที่กำลังจะเป็น Rising Star ถัดไป หลังเห็นสัญญาณการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ช่วงได้ Economy of scale ที่สุดจาก Utilization Rate ที่คาดเต็มในปี 2024 โดยจะเริ่มขยายกำลังการผลิตช่วงปลายปี 2023
• แนวรับ 35.50//34 บาท แนวต้าน 37.25//38.50 บาท
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลง จากความกังวลเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ โดยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาดที่ 9.1% จากคาดการณ์ที่ 8.6-8.8% ซึ่งตลาดมีการรับรู้ไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีผลลบต่อตลาด เราเห็นดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ลงไม่มาก อาจต้องรอดูตลาดหุ้นสหรัฐฯในคืนนี้
ความคิดเห็นของกรรมการ Fed แต่ละคน ที่จะออกมาหลังจากนี้ จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ละวัน
ตัวแทนรัสเซีย ยูเครน ตุรกี และ UN มีการเข้าร่วมประชุม ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในวานนี้(13) เพื่อหาทางส่งออกธัญพืชจากยูเครนไปยังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก เรามองว่าหากทำได้จะส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรให้ปรับตัวลดลง
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงต่ำกว่า 100 เหรียญ (ล่าสุด 95.93 เหรียญ) จากความกังวล Recession จะเป็นตัวจำกัดการสูงขึ้นของราคาหุ้น PTTEP แต่คาดด้วยปัญหา supply ราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูงไปอีกระยะ จนกว่าสหรัฐฯ จะหาทางให้ OPEC เพิ่มกำลังการผลิตให้มากกว่าที่เป็นอยู่
การระบาดรอบใหม่ของ Covid-19 ของโลกและไทย จะเป็นลบต่อตลาด โดยเฉพาะหุ้นอิงการท่องเที่ยว
TISCO รายงานกำไร 2Q วันนี้ KTBST คาด 1.78 พันล้านบาท +6.9% YoY; -0.8% QoQ
หุ้นเพิ่มทุน NINE, SENA, SMT, STGT และ XO เริ่มทำการซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลข PPI เดือน มิ.ย. และตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ
แม้ราคาหุ้นส่วนใหญ่จะปรับตัวลงมาแล้ว แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่จะฉุดตลาด ทำให้ ดัชนีฯมีโอกาสที่จะปรับลงสู่แนวรับสำคัญ 1530 จุด หากหลุดจากแนวนี้จะเป็นสัญญาณขายรอบใหม่
เรามองเป็นบวกสำหรับหุ้นโรงพยาบาล (เน้นคนไข้ในประเทศ) หลัง Covid ระบาดรอบใหม่ หุ้น top pick จะเป็น BCH, BH, BDMS แต่ประเด็นนี้เป็นลบต่อหุ้นท่องเที่ยวและสายการบิน จึงควรเลี่ยงไปก่อน
ความกังวล Recesion (สหรัฐฯ) ยังสูงควรระมัดระวังหุ้นในกลุ่มที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี่ สถาบันการเงิน หุ้นที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มส่งออก
พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น ADVANC, GFPT ออกจากพอร์ต และนำหุ้น BCH เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย BCH(10%), BGRIM(20%), BANPU(10%), SPALI(10%), PTT*(10%)
# Strategy top picks
BCH: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 21.50 บาท) “รายได้โควิดเพิ่มขึ้นจาก Hospitel หลังการระบาดใหม่กลับมา”
•BCH กลับมาเปิด Hospitel อีกครั้ง หลังการระบาดใหม่ ผลงานในอดีตของ BCH ที่บริหาร Hospitel ทำได้ดี ล่าสุด 1Q22 รายได้โควิดคิดเป็น 43% ของรายได้รวม
•รายได้จากผู้ปวยกลุ่ม Non-Covid (Cash+SSO) จะเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ควบคู่ไปกับรายได้โควิด
•KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 2022-2023 ที่ 5.86 พัน ลบ. และ 2.24 พัน ลบ. -14%YoY, -62%YoY ตามลำดับ
Technical : BCH, CPR
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET ปรับฐานในกรอบแนวรับ 1,535 – 1,540 แนวต้าน 1,550 – 1,555 ถูกกดดันภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และรอรายงานกำไรกลุ่มธนาคาร แนะนำถือพอร์ตหุ้น 50%, Selective Buy กลุ่ม Defensive เช่น GULF, GSPC, RATCH/ CPF, GFPT, TFG
CBG* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 117.50 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2Q65 คาดกำไรฟื้นตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาลที่เป็น High Season ของธุรกิจเครื่องดื่ม แต่จะยังลดลง YoY แม้รายได้จะเติบโตได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเติบโต แต่ถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่ยังทรงตัวระดับสูง อย่างไรก็ตามคาดว่าต้นทุนอลูมิเนียมในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากจีนเพิ่มกำลังผลิต เมื่อรวมกับต้นทุนพลังงานที่มีโอกาสปรับลดลงจากความกังวลเรื่อง Recession จะทำให้เห็นอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทขยายตัว QoQ ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
TU (ซื้อสะสม / ราคาเป้าหมาย 20.20 บาท) ประเมินกำไรสุทธิ 2Q65 ที่ 1,218 ลบ.(-48.02%YoY, -30.24%QoQ) จากแรงกดดันในแง่ของ Extra Items หลักๆ 2 รายการ คือ1. การปรับ Fair Value ของ Preferred Shares ใน Red Lobster (จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ USA) และ 2. การปิดโรงงานในเยอรมัน (Rügen Fisch) ขณะที่ในช่วงถัดไปช่วง 2H65 นี้ เราคาดว่า ปัจจัยลบในแง่ของต้นทุนจากราคาปลาทูน่าจะผ่อนคลายลงได้บ้างจากราคาทูน่าในช่วงเดือน มิ.ย.65 ที่ 1,425 usd/ton (จากช่วงก่อนหน้าของปีนี้บริเวณ 1,900 usd/ton ) จะช่วยหนุน GPM ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ TU ยังได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าอีกด้วย ปัจจุบันเรา ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 และ 66 ที่ 6,431 ลบ. (-19.74%YoY) และ 8,024 ลบ.(+24.77%YoY)