แพทย์เชี่ยวชาญห่วงดื้อยา ยันโควิด 90% ไร้อาการ ไม่ต้องใช้ฟาวิพิราเวียร์
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีการใช้ยารักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่า ผู้ติดโควิด-19 ระลอกโอมิครอน ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (รพ.) มีประมาณร้อยละ 10 โดยจากแนวทางการรักษาล่าสุดฉบับที่ 20 ที่เพิ่งออกมาเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 กำหนดให้กลุ่มที่ต้องเข้านอนรักษาใน รพ. คือ 1.ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง เช่น มีไข้ 38-39 องศาเซลเซียส อายุ 65 ปีขึ้นไป หรือมีโรคร่วมสำคัญหรือผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบเล็กน้อยที่ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน แพทย์พิจารณาให้เข้ารับการนอนใน รพ. เพราะเสี่ยงที่โรคจะพัฒนารุนแรงขึ้น ส่วนยาที่ใช้จะมีหลายตัว
“ส่วนผู้ติดเชื้ออีกราวร้อยละ 90 ไม่มีอาการหรืออาการน้อย เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่สามารถดูแลรักษาที่บ้านได้ทั้งผ่านระบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation: HI) และดูแลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) แล้วผู้ติดเชื้อจะค่อยๆ หายได้เอง โดยกลุ่มที่ไม่มีอาการ จะไม่ให้ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ อาจจะพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลพินิจแพทย์ ส่วนกลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่มีโรคร่วม แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะให้ฟาวิพิราเวียร์หรือไม่ จากที่ดำเนินการเรื่องดูแลระบบ HI ในระลอกของโอมิครอน พบว่า โอกาสที่กลุ่มอาการสีเขียวรักษาที่บ้านแล้วอาการจะเปลี่ยนแปลง ไปอยู่ในระดับสีเหลืองหรือสีแดงนั้น มีน้อยมากๆ” รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว
รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ใช่ว่าทุกรายจะต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ หากไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องได้รับยานี้ ส่วนมากอาการจะค่อยๆ หายเอง ไม่ได้แย่ลง เพราะยาทุกตัวสามารถเกิดผลข้างเคียงได้ อย่างยาฟาวิพิราเวียร์ อาจเกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ตาเป็นสีฟ้า และไม่แนะนำใช้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะพบว่า มีผลต่อตัวอ่อนในสัตว์ทดลอง อีกทั้ง ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์วันละ 2 ล้านเม็ด เดือนละ 60 ล้านเม็ด นับว่าเป็นการใช้ยาต้านไวรัสในปริมาณที่มาก
“จากการใช้ยาต้านไวรัสในปริมาณที่มากนี้ กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังกังวลในประเด็นเรื่องของเชื้อดื้อยา ซึ่งตามทฤษฎีย่อมเกิดขึ้นได้ ถ้าเชื้อสัมผัสกับยาบ่อยๆ ก็จะเกิดการดื้อยาได้ และถ้ามีการดื้อยาเกิดขึ้นจริงๆ ให้กิน ก็เหมือนกับการกินแป้งไม่มีประโยชน์ ดังนั้น แนวทางการรักษาใหม่จึงกำหนดให้ใช้ยาตามอาการและใช้อย่างสมเหตุสมผล หากไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ และขอย้ำว่าการปรับแนวทางการรักษาเป็นไปตามอาการผู้ป่วยและสถานการณ์ ไม่ได้เป็นเพราะประเทศไทยขาดยาฟาวิพิราเวียร์แต่อย่างใด” รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี กล่าว