AAI กำไร Q3 ที่ 289.11 ลบ. โต 144.63% ชี้ยอดขายปีนี้มีโอกาสสูงกว่าเป้า
#AAI #ทันหุ้น-บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 3/67 มีกำไร 289.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 118.18 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% โดยเพิ่มขึ้นมากทั้งในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก
ทั้งนี้ในไตรมาส 3/67 มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 357 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า แต่ลดลง 18.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อัตรากำไรลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญของค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาทในระหว่างไตรมาส
การใช้งบประมาณตามแผนการลงทุนในระหว่างไตรมาส กลุ่มบริษัทฯ ปรับลดงบลงทุนสำหรับปีจาก 430 ล้านบาท คงเหลือไม่เกิน 250 ล้านบาท โดยเลื่อนโครงการลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติไปอยู่ในแผนงบประมาณปี 2568 จากเดิมคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนในปี 2567 และ ปี 2568 เนื่องจากมีการปรับแบบอาคาร
**คาดยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงดีกว่าเป้าหมาย
กลุ่มบริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ยอดขายสำหรับปี 2567
กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า จากการที่ยอดขายในช่วง 9 เดือนเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเชื่อว่ามีโอกาสทำได้ดีกว่าเป้าที่ 5.7 พันล้านบาท ตามอุปสงค์ของลูกค้าเจ้าของแบรนด์ในตลาดสำคัญๆ ที่ยังดีต่อเนื่อง แม้ว่ายอดขายแบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีนยังคงมีความท้าทายอย่างมาก
กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก กลุ่มบริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ยอดขายสำหรับปี ที่ราว 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะยังคงเลือกรับคำสั่งซื้อที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นได้ตามนโยบายของบริษัทฯ ไปตลอดทั้งปี เนื่องจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวดีโดยคาดการณ์ว่ายอดขายอาหาร พร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกจะหดตัวร้อยละ 24.0 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำอัตรากำไรรวมสำหรับปีได้อยู่ในช่วงร้อยละ 20-21 โดยเชื่อว่าอัตรากำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีจะยังคงได้รับแรงกดดันจากค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยที่ราคาทูน่ามีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงปลายปี
กลุ่มบริษัทฯ ยังคงมีกระแสเงินสดส่วนเกิน และมีสภาพคล่องสูง ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ต้นทุนของเงินทุนของกลุ่มบริษัทฯ จะยังคงอยู่ในระดับต่ำและมีนโยบายที่มุ่งใช้งบการตลาดในการผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้เพื่อการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ และเร่งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในไทย เพื่อเพิ่มของยอดขายของแบรนด์ให้มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 10 ตามแผนกลยุทธ์ในระยะยาวของกลุ่มบริษัทฯ