ขาดปัจจัยใหม่ คาดแกว่งตัว1,350–1,365จุด
นักวิเคราะห์บล.กรุงศรี มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดหุ้นไทยวันนี้(23ก.ค.63) โดยคาดว่าดัชนีแกว่งตัว 1,350 – 1,365 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน ประกอบกับมีปัจจัยลบกดดันหลังสหรัฐได้สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกัน ขณะที่จีนเตรียมตอบโต้ด้วยการปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองอู่ฮั่น ส่งผลให้มีเกิดความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยอดผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 7 หมื่นราย/วันซึ่งเป็นแรงกดดันต่อทิศทางการลงทุน อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากแรงซื้อหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัวหรือกลุ่มที่งบ ไตรมาส 2 Qเติบโตเข้ามาช่วยหนุนดัชนี
กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำให้เลือกซื้อเป็นรายตัว กลุ่มอาหาร (CPF GFPT TU TFG ASIAN ) และ กลุ่มอิเล็ค ( KCE DELTA HANA SVI ) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น ( TOP PTTGC SPRC SCC BGRIM CKP CPF TU TASCO STA STGT SPALI AP PRM PTL AJ STARK CBG TQM ) กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP TOP PTTGC IRPC SPRC IVL ) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบทรงตัวเหนือ 40 US/Barrel
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ BCPG (เป้า 19.8บาท) ระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะถูกกดดันจากแนวโน้มงบ ไตรมาส 2/63 ที่อ่อนแอ แต่ราคาที่ลดลงเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเนื่องจากครึ่งปีหลังกำไรสุทธิของบริษัทจะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยมีแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวซึ่งคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าวจะมีพลิกมีกำไรประมาณ 180 ล้านบาทเทียบจากที่ขาดทุนในไตรมาส 1/63 และไตรมาส2/63
อีกตัว คือ SPRC (เป้า 8.0 บาท) ราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวซาอุฯ เพิ่มราคาขาย OSP ไปแล้วด้านงบ ไตรมาส2/63 คาดพลิกมีกำไร 3.5 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 8.3 พันล้านบาทในไตรมาส1 จากกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบ 4.2 พันล้านบาท, ค่าการกลั่น (GRM) ดีขึ้นจาก 1.3$/bbl ใน ไตรมาส1/62 เป็น 4$/bbl