สรุปกำไรบจ.ไตรมาส 4/67 เพิ่ม 14% หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-ขนส่ง-อาหาร-ธพ.-ค้าปลีกเติบโตดี

#ผลงานบจ. #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.บัวหลวง
สรุปผลประกอบการกำไรไตรมาส 4/67
กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง (ซึ่งมีแรงผลักดันจากการบริโภคในประเทศ) และราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้น (และต้นทุนวัตถุดิบลดลง) เราประมาณการเชิงพื้นฐานกำไรจะเติบโต QoQ ในไตรมาส 1/68 หนุนโดยธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินงานเป็นปกติ แต่สัดส่วนผลประกอบการไตรมาส 4/67 ที่กำไรดีกว่าคาดเทียบแย่กว่าคาดน้อยลงทำให้เราเห็นว่าอาจมีความเสี่ยงขาลงในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ของ SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% YoY (ต่ำกว่าตลาดคาด 11.1%)
กำไรสุทธิรวมของ SET อยู่ที่ 14% YoY (แต่ลดลง 3% QoQ) โดยกลุ่มที่เติบโต YoY ได้แก่ 1) กลุ่มท่องเที่ยว (RevPar แข็งแกร่ง ทั้งโรงแรมในยุโรป, อเมริกาใต้ และไทย), 2) กลุ่มขนส่ง (จำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น), 3) กลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อหมูที่สูงขึ้นในไทยและต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบลดลง), 4) กลุ่มธนาคาร (รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการตั้งสำรองฯ น้อยลง), และ 5) กลุ่มค้าปลีก (ยอดขายค้าปลีกสินค้าจำเป็นแข็งแกร่ง ขณะที่รายได้ค้าปลีกก่อสร้างยังคงอ่อนแอ)
ในทางตรงข้าม กำไรที่ปรับตัวลดลง YoY สำหรับกลุ่มรับเหมา (ผลขาดทุนส่วนแบ่งจากโครงการ LPCL, ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น), กลุ่มยานยนต์ (อุปสงค์อ่อนแอเนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง, คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ และการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์รถ EV โดยเฉพาะจากจีน), กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของ DELTA และยอดขาย PCB และ IC ที่อ่อนแอของ KCE และ HANA), กลุ่มแพ็กเกจจิ้ง (อุปสงค์อ่อนแอ), กลุ่มปิโตรเคมี (ผลการดำเนินงานในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่อ่อนแอของ PTTGC) และกลุ่มพลังงาน (ผลขาดทุนสุทธิพิเศษของ PTT ส่วนใหญ่จากอัตราแลกเปลี่ยน, สินค้าคงคลัง และการด้อยค่าสินทรัพย์ รวมทั้งค่าการกลั่นที่ลดลง)
กำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาด 11.1% (หุ้นที่เราให้คำแนะนำ) โดยกลุ่มที่รายงานกำไรดีกว่าคาด ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว (ผลการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมแข็งแกร่ง), กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (กำไรพิเศษก้อนใหญ่จาก SCC), กลุ่มธนาคาร (รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการตั้งสำรองฯ น้อยลง), กลุ่มโรงพยาบาล (อุปสงค์ด้านการแพทย์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ปาวยชาวไทย) ในขณะที่กลุ่มที่รายงานกำไรสุทธิต่ำกว่าคาด ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ผลขาดทุนส่วนแบ่งจากโครงการ LPCL, ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น), กลุ่มแพ็กเกจจิ้ง (ผลขาดทุนพิเศษเพิ่มขึ้นจาก SCGP), กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของ DELTA) กลุ่มไอซีที (ผลขาดทุนพิเศษเพิ่มขึ้นจาก TRUE) และกลุ่มพลังงาน (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและอัตราภาษีจ่ายของ PTT)
สัดส่วนกำไรของบริษัทใน SET ที่มีอัพไซด์ (กำไรดีกว่าที่ตลาดคาดมากกว่า 5%) อยู่ที่ 32% เพิ่มขึ้น 26% ในไตรมาส 3/67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 38%) โดยประมาณ 39% รายงานผลประกอบการแย่กว่าคาด เพิ่มขึ้นจาก 33% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดในไตรมาส 3/67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 35%) สัดส่วนกำไรที่ดีกว่าเทียบแย่กว่าคาดอยู่ที่ 0.8 ไม่เปลี่ยนแปลงจากในไตรมาส 3/67 (ค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 1.1 และหากเทียบกับวงจรเศรษฐกิจโลกในปี 2558 และ 2562 อยู่ที่ 0.9) กำไรรวมของ SET อยู่ที่ 11.1% ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด (หุ้นที่เราให้คำแนะนำ) โดยคำเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% สูงกว่าตลาด กำไรจากผลการดำเนินงาน (กำไรหลัก) สำหรับไปในไตรมาสนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10%YoY แต่ลดลง 4% QoQ กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 8.5 ต่ำกว่าที่เราคาด (กำไรหลักรวมอยู่ที่ 2% ต่ำกว่าที่เราคาด ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และรับเหมาที่อ่อนแอ)
คาดการณ์ปรับลดประมาณการกำไรลงอย่างต่อเนื่องในเดือน ก.พ.
อุปทานที่ล้นตลาดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอกดดันราคาและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่พื้นตัวแข็งแกร่งอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งได้ทำให้ความเชื่อมั่นในบางกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง โดยเฉพาะกลุ่มสื่อ (แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาอ่อนตัว), กลุ่มวัสถูก่อสร้าง, กลุ่มปิโตรเคมี (ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอ่อนตัว), และกลุ่มอสังหาฯ (อุปสงค์อ่อนตัว) ในขณะที่ กลุ่มไอซีที (ARPU แข็งแกร่ง), หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว (ท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยเฉพาะสายการบินและโรงแรม), กลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อสัตว์สูงขึ้น) มีโอกาสในการปรับประมาณการกำไรขึ้น