รีเซต

'ศูนย์สิริกิติ์' โฉมใหม่ พร้อมเปิดบริการก.ย.นี้  อีเวนต์จองพื้นที่ทะลัก ลุ้นรัฐเลือกจัดประชุม 'เอเปค'

'ศูนย์สิริกิติ์' โฉมใหม่ พร้อมเปิดบริการก.ย.นี้  อีเวนต์จองพื้นที่ทะลัก ลุ้นรัฐเลือกจัดประชุม 'เอเปค'
มติชน
25 มกราคม 2565 ( 15:55 )
231

ข่าววันนี้ 25 มกราคม นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่าภายในเดือนกันยายน 2565 พร้อมเปิดให้บริการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โฉมใหม่ หลังปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2562  โดยจะปิดเพนพอยท์จากศูนย์เดิมให้รองรับกิจกรรมขนาดใหญ่ระดับเวิล์ดคลาส มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น 5 เท่า จาก 25,000 ตารางเมตร เป็น 300,000 ตารางเมตร พื้นที่รีเทลจาก 7,200 ตารางเมตร เป็น 12,000 ตารางเมตร ที่จอดรถ  3,000 คัน พร้อมทางเชื่อมใต้ดินทะบุรถไฟฟ้าMRT ยังใกล้กับ 2 สวนสาธารณะขนาดใหญ่ทั้งสวนเบญจกิติและสวนลุมพีนี

 

“ศูนย์ประชุมสิริกิติ์จะเป็นตัวไดร์ฟธุรกิจถนนพระราม4 เป็นศูนย์กลางธุรกิจเทียบเท่าถนนสุขุมวิทและสีลม เพราะรายล้อมด้วยโครงการใหญ่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเมือง เช่น เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ เดอะปาร์ค  ปีหน้าจะมีวัน แบงค็อก และดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังมีสีลมเอจ และสามย่านมิตรทาวน์”

 

 

นายศักดิ์ชัยกล่าวอีกว่า สำหรับลูกค้าเป้าหมาย จะมีทั้งในประเทศและกลุ่มซีแอลเอ็มวี   ในปี 2565 มียอดจองพื้นที่จัดงานเทรดแฟร์และเอ็กซิบิชั่นแล้ว 70% จากลูกค้าไทย สิงคโปร์และเอเชีย ในปี 2566 จะมีจัดอีเวนต์ 130 งานและงานที่เคยจัดจะย้ายกลับมา เช่น งานสัปดาห์หนังสือ การท่องเที่ยว เป็นต้น

 

โดยตั้งเป้ามีคนใช้บริการ 13 ล้านคนต่อปี และหลังเปิดบริการจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ของภูมิเอเชีย และบริษัทยังคาดหวังว่าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะได้รับคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการประชุมเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีนี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลกำลังพิจารณา จะประกาศผลในเร็วๆนี้

 

“การผ่อนคลายมาตรการเปิดรับผู้เดินทางจากต่างประเทศด้วยระบบเทสต์แอนด์โก จะทำให้ลูกค้าต่างประเทศที่จองพื้นที่จัดงานไว้แล้ว มีความเชื่อมั่นและมั่นใจมากขึ้น โดยศูนย์ใหม่ ได้มีการออกแบบให้รองรับกับการระบาดของโควิด-19 ให้มีจุดสัมผัสน้อยลง และเราต้องปรับสัดส่วนของลูกค้าใหม่ จากเดิมตั้งเป้า 70% เป็นลูกค่าต่างชาติและในประเทศ 30% เป็นต่างประเทศ 60%และในประเทศ 40%” นายศักดิ์ชัยกล่าว

 

 

น.ส.ธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในส่วนของพื้นที่รีเทลพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์ มอลล์” มีร้านค้ากว่า 100 ร้าน ขณะนี้ร้านอาหารและร้านค้าทยอยเซ็นสัญญาแล้ว 20% คาดว่าไตรมาสแรกปีนี้จะปิดดีลผู้เช่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 40%  โดยพื้นที่ทั้งหมดเป็นฟู้ดคอร์ทและร้านอาหารถึง 60% ที่เหลือเป็นด้านบริการต่างๆ รองรับการบริการตลอด 7 วัน ซึ่งย่านนี้มีผู้อยู่อาศัย 300,220 คน โดยรอบอีก  100,000 คน และคนมาใช้บริการศูนย์การปะชุมอีก 13 ล้านคนต่อปี

 

“เป็นอีกหนึ่งแหล่งพบปะสังสรรค์แห่งใหม่ย่าน CBD จะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้จัดงานและผู้เยี่ยมชมอิเวนต์ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนเมืองที่มีความแอคทีฟและคนรักการออกกำลังกาย ที่มาใช้บริการสวนเบญจกิติ”

 

น.ส.ธีรนันท์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกหลังรัฐผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวด้วยระบบเทสต์แอนด์โก จะทำให้บรรยากาศและความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาแบบค่อยเป็นค่อยไป และทราฟฟิคของบริษัทส่วนใหญ่เป็นภายในประเทศ ส่วนนักท่องเที่ยวจะมีไม่มาก

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง