ก.อุตฯยันหน้ากากผ้าทุกชิ้นได้มาตรฐาน พร้อมเปิดต้นทุน-ขั้นตอนผลิตละเอียดยิบ
กระทรวงอุตสาหกรรม ย้ำชัดกระทรวงฯ ผลิตหน้ากากผ้าคุณภาพ ผ่านการตรวจรับรองมีผลห้องทดลองยืนยันใช้งานได้จริง ป้องกันละอองสารคัดหลั่งได้ ขอให้ประชาชนมั่นใจคุ้มค่างบประมาณ 67 ล้านบาทอย่างแน่นอน พร้อมลุยต่อเร่งจัดส่งหน้ากากอนามัยชนิดผ้าล็อต 2 ภายหลังดำเนินการแล้วเสร็จจัดส่งตามทะเบียนบ้านสำหรับครัวเรือนที่มีรายชื่อตามทะเบียนบ้านในกรุงเทพมหานคร
นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยและป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม จัดทำหน้ากากผ้า จำนวน 10 ล้านชิ้น เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนแบ่งออก 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ 1 กรุงเทพมหานคร จำนวน 5,450,000 ชิ้น จัดส่งโดยไปรษณีย์ไทย ตามข้อมูลทะเบียนบ้านครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตามบัญชีรายชื่อในทะเบียนบ้าน 1 คนต่อ 1 ชิ้น
ซึ่งมุ่งเน้นให้มีการดำเนินการจัดส่งให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยได้ประสานงานใกล้ชิดกับผู้ผลิตและผู้จัดส่งหน้ากากคือไปรษณีย์ไทยให้ผลิตและจัดส่งให้เป็นไปตามแผนงาน โดยผู้ผลิตจะส่งหน้ากากทั้งหมดให้กระทรวงอุตสาหกรรมภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ส่วนการจัดส่งได้มีการหารือกับไปรษณีย์ไทยเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานและเร่งจัดส่งให้แก่ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมากกว่า 1 รายอย่างเร่งด่วนเป็นลำดับถัดไป ขอให้ประชาชนมั่นใจได้รับหน้ากากผ้าทันเวลาตามจำนวนในทะเบียนราษฎรแน่นอน
กลุ่มที่ 2 ปริมณฑล และพื้นที่เสี่ยง จำนวน 2,500,000 ชิ้น มอบหมายให้อุตสาหกรรมจังหวัด ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด แจกจ่ายประชาชนในพื้นที่ และกลุ่มที่ 3 เจ้าหน้าที่/พนักงานกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ จำนวน 2,050,000 ชิ้น
“ต้นทุนในการผลิตหน้ากากผ้ากระทรวงอุตสาหกรรม มีต้นทุนของหน้ากากผ้าอยู่ที่ 6.08 บาทต่อชิ้น และค่าบริหารจัดการของไปรษณีย์ไทยแบบพัสดุอีเอ็มเอส 7 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองส่วนสูงกว่างบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยต้นทุนในส่วนหน้ากากผ้า (ต่อชิ้น) ประกอบด้วย หมวดวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ต้นทุนผ้าที่เป็นไปคุณสมบัติตามเกณฑ์สถาบันสิ่งทอ พร้อมค่ายางยืดหู 2 ข้าง หมวดการผลิต ได้แก่ ค่าแรงตัด เย็บ และ QC หมวดบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ค่าซอง การพิมพ์และแพ็คสินค้า หมวดทดสอบ ได้แก่ ค่าตรวจสอบคุณสมบัติของผ้าก่อนผลิต ค่าตรวจสอบหน้ากากผ้าหลังผลิตเสร็จตามจำนวนล็อตที่มีการส่งมอบ และหมวดขนส่งถึงจุดที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด”นางวรวรรณกล่าว
นอกจากนี้ เรื่องของคุณภาพมาตรฐานของหน้ากากผ้าที่ผลิตโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวง ฯ มีความใส่ใจและเน้นย้ำในกระบวนการผลิตโดยเน้นที่ความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยคุณลักษณะของผ้าและหน้ากากผ้าเป็นไปตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ข้อแนะนำคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้กำหนดคุณลักษณะผ้า และคุณลักษณะด้านความปลอดภัยไว้ ซึ่งผ้าที่นำมาใช้ทำหน้ากากผ้าทุกชิ้นได้ผ่านการตรวจรับรองการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพและคุณลักษณะด้านความปลอดภัยจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทั้งก่อนและหลังผลิตหน้ากากผ้า ซึ่งจะต้องมีลักษณะทั่วไป คือ สะอาด ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไม่มีลายพิมพ์ อ่อนนุ่มต่อผิวสัมผัส และไม่เกิดการระคายเคือง มีน้ำหนักต่อหน่วยพื้นที่ ไม่น้อยกว่า 80 กรัมต่อตารางเมตร และไม่เกิน 220 กรัมต่อตารางเมตร (หากเกินจะส่งผลให้หายใจได้ลำบาก)
รวมทั้งผ่านการทดสอบคุณลักษณะด้านความปลอดภัย ไม่มีสารพิษตกค้าง โดยการทดสอบสีเอโซ และปริมาณฟอร์แมลดีไฮด์ ซึ่งหน้ากากผ้าจะมีการตัดเย็บแบบ 2 ชั้น มีการทดสอบการผ่านได้ของอากาศ(ต้องไม่เกิน 50 ลูกบาศก์เซนติเมตรต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที) และความหนาต้องไม่น้อยกว่า 0.5 มิลลิเมตร จึงขอให้มั่นใจว่าสามารถใช้เพื่อป้องกันละอองสารคัดหลั่ง จากการไอหรือจาม (ขนาด 5 ไมครอน) และใช้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปได้
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดได้รับหน้ากากอนามัยไม่ครบถ้วนตามจำนวนรายชื่อในทะเบียนบ้าน หรือมีความประสงค์ตรวจสอบสิทธิ์ และสถานะการจัดส่ง หรือหากมีความจำเป็นต้องการหน้ากากเพิ่มเติม สามารถติดต่อแจ้งเรื่อง ได้ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านทางเว็บไซต์ www.industry.go.th และ www.หน้ากากไทยต้านโควิด.com หรือสามารถติดต่อแจ้งปัญหาได้ทางเบอร์โทรศัพท์ 02-202 3737 หรือติดต่อผ่านช่องทางศูนย์บริการสถานการณ์วิกฤต กระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้มั่นใจว่ากระทรวงฯ จะเร่งผลิตและแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ กทม.ตามทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง ให้ครบถ้วน อย่างรวดเร็ว สำหรับประชาชนที่มีความต้องการหน้ากากเพิ่มเติม กระทรวงอุตสาหกรรมจะได้จัดสรรให้ตามความจำเป็นอย่าง เหมาะสมต่อไป