สมาคมเภสัชกรอุตสาหการ แถลงย้ำแอสตร้าฯ ใช้ในไทย ขวดละ 10 โดส ชี้ฉีดแล้วยาเหลือไม่พอ 1 โดส ต้องทิ้ง

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม สมาคมเภสัชกรอุตสาหการ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องวัคซีนชนิดหลายโดส (multiple dose vaccine) โดยระบุถึงความกังวลในความเข้าใจคลาดเคลื่อนของการบริหารยาของวัคซีนชนิดหลายโดส (multiple dose vaccine) จึงขอชี้แจงหลักเกณฑ์ทางวิชาการ ดังนี้
1.การผลิตยาปราศจากเชื้อตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีและตามข้อกำหนดของเภสัชตำรับ มีข้อกำหนดให้การบรรจุมีปริมาตรส่วนเกินเพิ่มจากปริมาณที่กำหนดบนฉลาก เพื่อทดแทนการสูญเสียจากการดูดยาในแต่ละโดส
โดยเภสัชตำรับได้กำหนดปริมาตรส่วนเกิดขึ้นกับลักษณะทางกายภาพของยาว่ามีลักษณะใสหรือมีความหนืด การพิจารณาการบรรจุปริมาตรส่วนเกินเป็นข้อมูลจากการวิจัยพัฒนาของผู้ผลิตและหลักเกณฑ์ วิธีการที่ดีในการบรรจุ รวมถึงการใช้จุกยางที่เหมาะสมต่อการรองรับการแทงเข็มฉีดยาซ้ำหลายครั้ง โดยไม่มีการปนเปื้อนเศษจุกยางหลุดร่วงลงในน้ำยา ผู้ผลิตจึงต้องมีเอกสารกำกับยาในการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้ผู้ใช้ปฏิบัติตาม
2.กรณีของวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ใช้ในไทย เป็นชนิดขวดละ 10 โดส การดูดวัคซีนจากขวดให้ใช้กระบอกฉีดและเข็มฉีดยาสำหรับการฉีดแต่ละคน ในการดูดวัคซีนแต่ละครั้งให้ได้ปริมาตรที่ฉีด 0.5 มล.ต่อโดส ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
หลังจากฉีดครบจำนวนโดสที่ระบุในฉลากและเอกสารกำกับยา อาจมีวัคซีนบางส่วนในขวดซึ่งเป็นปกติ หากใช้กระบอกฉีดและเข็มฉีดยาแบบพิเศษ อาจมีวัคซีนเหลือพอสำหรับการฉีดอีก 1 โดส แต่ต้องมั่นใจว่าปริมาตรวัคซีนที่เหลือต้องสามารถฉีดให้ครบ 1 โดสได้จริง หากไม่พอต้องทิ้งวัคซีนที่เหลือในขวดไป และห้ามนำไปรวมกับวัคซีนที่เหลือในขวดอื่น เพราะอาจเกิดความเสี่ยงปนเปื้อน
3.เนื่องจากวัคซีนเป็นยาปราศจากเชื้อที่ไม่ได้เติมสารกันเสีย จึงต้องระวังการปนเปื้อนในการบริหารยา โดยใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ สำหรับการดูดยาแต่ละโดส รวมทั้งระมัดระวังการปนเปื้อนจากเศษจุกยางที่หลุดร่วงลงในน้ำยาจากการใช้ขนาดของเข็มฉีดยาที่ไม่เหมาะสม และใช้เข็มแทงซ้ำหลายครั้ง
หลังจากการใช้วัคซีนครั้งแรกแล้วควรใช้วัคซีนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และใช้ภายใน 6 ชั่วโมง (เมื่อเก็บที่อุณหภูมิระหว่าง 2-25 องศาเซลเซียส) และให้ทิ้งวัคซีนส่วนที่ไม่ได้ใช้ไป
Tag
บทความน่าสนใจอื่นๆ
