กรมชลประทานมั่นใจ! น้ำไม่ท่วมซ้ำรอยปี 54 แน่นอน

กรมชลประทาน (ชป.) ยืนยันความมั่นใจว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะไม่รุนแรงเทียบเท่ากับเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 อย่างแน่นอน เนื่องจากมีการบริหารจัดการน้ำเชิงรุกที่เข้มข้น โดยเฉพาะการดำเนินการที่เขื่อนต้นน้ำและระบบคลองผันน้ำ

สำหรับเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บแตะระดับ 100% ของความจุแล้ว กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีมติให้ดำเนินการระบายน้ำออกวันละ 55 ล้านลูกบาศก์เมตร อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน เพื่อรักษาความสมดุลของระดับน้ำในเขื่อน และรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจไหลเข้าเพิ่มเติม โดยมีการกำหนดการระบายน้ำให้สอดคล้องกับช่วงที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำปิงมีแนวโน้มลดลง เพื่อควบคุมไม่ให้ยอดน้ำในลำน้ำสูงเกินไป

และในส่วนของเขื่อนเจ้าพระยาจังหวัดชัยนาท ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการชะลอและตัดต้นน้ำ กรมชลประทานได้สั่งการให้เร่งผันน้ำเข้าสู่ระบบคลองชลประทานทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มที่ โดยฝั่งตะวันออก:คลองชัยนาท-ป่าสัก และฝั่งตะวันตก:คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง และแม่น้ำท่าจีนมีการเพิ่มอัตราการระบายน้ำรวมเข้าคลองผันน้ำจากเดิม 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็น 647 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีซึ่งคิดเป็นปริมาณน้ำที่ผันออกประมาณ 15 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อแบ่งเบาปริมาณน้ำที่จะไหลต่อลงไปยังพื้นที่ลุ่มต่ำตอนล่าง เช่น พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี

ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงว่า แม้ระดับน้ำในบางพื้นที่อาจสูงกว่าปีก่อน ๆ แต่สาเหตุหลักเกิดจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รับน้ำหลากตามธรรมชาติที่อยู่นอกคันกั้นน้ำความแตกต่างสำคัญจากเหตุการณ์ปี 2554 คือในปัจจุบัน กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างแนวคันกั้นน้ำตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยาต่อเนื่องไปจนถึงอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ทำให้สามารถควบคุมน้ำให้อยู่เฉพาะใน "ลำน้ำ"ได้ ซึ่งการควบคุมน้ำให้อยู่ในระบบเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำไหลแผ่กระจายออกไปยังพื้นที่อื่น ๆ อย่างกว้างขวางเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ด้วยการวางระบบและการบริหารจัดการน้ำที่เข้มข้นนี้ ทำให้มั่นใจว่าสถานการณ์น้ำจะสามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยได้