รีเซต

TLI กำไรนิวไฮกว่า9.7พันล. ชงผู้ถือหุ้นผันผล 0.50 บาท

TLI กำไรนิวไฮกว่า9.7พันล. ชงผู้ถือหุ้นผันผล 0.50 บาท
ทันหุ้น
29 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:33 )
105
TLI กำไรนิวไฮกว่า9.7พันล. ชงผู้ถือหุ้นผันผล 0.50 บาท

#TLI #ทันหุ้น TLI ปี 66 กำไรแตะ 9,707 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลจากกำไรรับประกันเติบโตสูงถึง 12.5% ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ของธุรกิจ  ทางด้าน VONB เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 5.4% เตรียมประชุมผู้ถือหุ้น อนุมัติปันผล 0.50 บาท


นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทในปี 2566 ว่า บริษัทยังมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์สูงถึง 9,707 ล้านบาท หรือเติบโต 4.8% เป็นผลจากความสามารถในการทำกำไรจากการรับประกันภัยที่เติบโตถึง 12.5% ที่ 7,966 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565


แม้ว่าเบี้ยประกันรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ที่ 12,295 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 แต่มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business: VONB) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 5.4% จากปี 2565อัตรากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB Margin) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.1 จุด โดยมีอัตราถึง 62.8% สะท้อนถึงการดำเนินกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้


*เบี้ยรับรวมโต

ทางด้านรายได้ ในปี 2566 บริษัทมีเบี้ยรับรวม 90,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.53% โดยเบี้ยที่ถือเป็นรายได้สุทธิจำนวน 89,712 ล้านบาท หักด้วยส่วนประกอบอื่น 595 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยจ่ายจากการเอาประกันภัยต่อ และการเปลี่ยนแปลงในสำรองเบี้ย ประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้


ขณะเดียวกันแม้ว่าจะ ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว แต่บริษัท ยังคงมีกำไรจากการลงทุน เนื่องจากพอร์ตการลงทุนของบริษัท มีการกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น โดยพอร์ตการลงทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มากกว่า 80% ของสินทรัพย์ลงทุนอยู่ในรูปแบบหนี้สินที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับกลุ่มน่าลงทุน ซึ่งในปีที่ผ่านมา TLI มีผลตอบแทนจากเงินลงทุนเฉลี่ย 3.72%


“บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางที่หลากหลาย ซึ่งมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ในปี 2566 เติบโตทุกช่องทางการขาย โดยช่องทางตัวแทนประกันชีวิตมีประสิทธิภาพด้านการขายที่ดีขึ้น และมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลกำไรอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นได้จากอัตรากำไรของธุรกิจใหม่ที่สูงขึ้นถึงระดับ 65.1% ส่วนมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ของช่องทางพันธมิตรเติบโตสูงถึง 14.5% เนื่องมาจากความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่ร่วมมือกับพันธมิตรธนาคาร” นายไชยกล่าว


*มาร์เก็ตแชร์เบอร์2

ด้านเบี้ยประกันภัยรับ บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium Equivalent: APE) จำนวน 12,295 ล้านบาท และมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงถึง 90,307 ล้านบาท โดยบริษัท ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ตามข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดคำนวณจากเบี้ยประกันภัยรับรวมของทั้งอุตสาหกรรมในปี 2566


จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ Embedded Value ปรับตัวขึ้นอีก 10.6% จากปีก่อนหน้า เป็น 160,580 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 


ขณะเดียวกันบริษัท มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ 398% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดอยู่ที่ 140% เป็นไปตามนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน


*อนุมัติปันผล 0.50บ.

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น จากผลกำไรในปี 2566 ซึ่งในเงินปันผลจำนวนนี้ได้รวมเงินปันผลพิเศษในอัตรา 0.16บาทต่อหุ้นเนื่องในโอกาสที่บริษัทได้เข้าร่วมอยู่ใน SET50 เป็นครั้งแรกในปี 2566 ซึ่งเงินปันผลจะจ่าย หลังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเรียบร้อยแล้ว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง