ADBรายได้-กำไรพุ่ง104% พีวีซีคอมปาวด์ดันยอด
ทันหุ้น – ADB โชว์รายได้-กำไรไตรมาส 1/64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ กวาดกำไร 30.42 ล้านบาท พุ่งพรวด 104% ส่วนรายได้อยู่ที่ 408.75 ล้านบาท พร้อมส่งสัญญาณออเดอร์เดือนเมษายนเข้าเป้า ชี้พีวีซีคอมปาวด์มาร์จิ้นสูง เล็งลงทุนเพิ่ม มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% แตะ 1.5-1.6 พันล้านบาท ส่วนแผนแตกไลน์ธุรกิจคาดชัดเจนภายในปีนี้
นางสาวพรพิวรรณ นิรมลเฉิดฉาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ็พพลาย ดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ ADB ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ กาวสำหรับอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ยาแนว เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 30.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.55 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 104.57% จากปีก่อนมีกำไร 14.87 ล้านบาท และมีรายได้ที่ 408.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 17.97% จากปีก่อนมีรายได้ 346.47 ล้านบาท
ผลงานทำนิวไฮ
ทั้งนี้กำไรและรายได้ของบริษัททำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) สำหรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นมาจากทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบกับบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี หลังจากควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่กลุ่มเม็ดพลาสติกพีวีซีคอมปาวด์ PVC (PVC Compound) จากกลุ่มสายไฟ กลุ่มสาธารณูปโภค และผู้รับเหมายังเติบโตไปตามทิศทางของงบประมาณจากภาครัฐ จากทั้งโครงการติดตั้งสายไฟบนดินและใต้ดิน ซึ่งภาครัฐจะมีงบประมาณออกมาตั้งแต่ช่วงปลายปีประมาณเดือนกันยายน ทำให้บริษัทเห็นทิศทางคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้ามาแล้วในช่วงปลายปีก่อน
ขณะเดียวกันมาร์จิ้นของกลุ่ม PVC Compound อยู่ในระดับสูง ทำให้ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/2564 เติบโตค่อนข้างดี นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์ยาแนว โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวบริษัทเป็นทั้งผู้ผลิต(OEM) และจำหน่ายผ่านตัวแทนไตรมาส 1/2564 มีแนวโน้มเติบโตดี ตามการส่งออก เนื่องจากลูกค้าต่างประเทศงานก่อสร้างขยายตัวดีขึ้น ดังนั้นความต้องการใช้กาวและผลิตภัณฑ์ยาแนว จึงมีทิศทางการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
เดินตามแผน
ส่วนแนวโน้มในเดือน 4 หรือเดือนเมษายนยังเป็นไปตามแผน เพราะลูกค้ามีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์)ล่วงหน้า 4-5 เดือน ทำให้การส่งมอบมาอยู่ในช่วงไตรมาส 1/2564 ค่อนข้างมาก และส่งมอบต่อมายังเดือนเมษายนอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่ภาพรวมไตรมาส 2/2564 บริษัทขอดูทิศทางเดือน 5 หรือเดือนพฤษภาคมก่อนว่าจะเป็นอย่างไร จึงจะประเมินภาพรวมทั้งไตรมาส 2 ได้
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจรายได้รวมเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% หรือมีรายได้แตะ 1.5-1.6 พันล้านบาท จากปี 2563 ที่ทำได้ 1.38 พันล้านบาท แม้ในแต่ละไตรมาสจะมีอุปสรรค แต่บริษัทจะพยายามผลักดันการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมาย ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตราว 80% คาดจะเพียงพอต่อออเดอร์ที่มีเข้ามา ทั้งนี้บริษัทนำเอาไลน์ผลิตสินค้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับสำนักงาน ดังนั้นภาพรวมต้นทุนการผลิตจะปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งจะสะท้อนผลประกอบการได้ดีในไตรมาสถัดไป
นอกจากนี้บริษัทยังคงสภาพคล่องสูง และมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำ 0.93 เท่า และเตรียมพิจารณาลงทุน ทั้งธุรกิจเม็ดพลาสติกคอมปาวด์ และยาแนว เพื่อผลักดันปริมาณและรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
จับมือพาร์ตเนอร์
ด้านแผนการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ เพื่อแตกไลน์ธุรกิจเครื่องสำอาง (Cosmetic) ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลักที่บริษัททำอยู่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาร่วมกับพาร์ทเนอร์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปและเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ ทั้งนี้รูปแบบการดำเนินงาน จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์จากไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายสินค้าคอสเมติกอันดับต้นๆ ของประเทศ และมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 3 พันคน เพื่อร่วมมือกันผลิตสินค้าส่งออกจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศไทย