เอกชนท่องเที่ยวมองทิศทางปี 64 ไม่หวังเติบโต แค่พยุงตัวให้รอดได้ถึงสิ้นปีก็เก่งแล้ว
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า ทิศทางภาคการท่องเที่ยวในปี 2564 ต้องยอมรับว่าการประกอบธุรกิจจะหวังสร้างรายได้ในปริมาณมากเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะสถานการณ์การท่องเที่ยวจะไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ไม่สามารถเข้ามาเที่ยวได้เป็นจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ปีหน้าจะเป็นปีที่ภาคเอกชนและภาครัฐต้องรวมมือกัน ในการพยุงธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ให้เดินหน้าต่อไปได้จนถึงสิ้นปี ในแบบที่หากความจริงต้องล้มลง 80% เหลือล้มเพียง 10% เท่านั้นได้หรือไม่ เพราะเข้าใจว่า อย่างไรก็ต้องมีคนที่ไปไม่ไหวอยู่แล้ว
“ต้องยอมรับความจริงว่า ธุรกิจท่องเที่ยวในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2564 ทำแล้วหวังรวยเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เพราะสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจเปลี่ยนไป มีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ในปีหน้า กลับมาประกอบธุรกิจแค่เอาตัวให้อยู่รอดได้ทั้งปีก็ดีที่สุดแล้ว ทำให้ภาพสำคัญที่ต้องพยายาทำคือ ภาครัฐต้องช่วยพยุงธุรกิจท่องเที่ยวไปให้รอดก่อน เพื่อรอฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไป ในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น มีวัคซีนต้านไวรัสกระจายได้ทั่วโลกแล้ว และการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาเป็นปกติ” นายชำนาญ กล่าว
นายชำนาญ กล่าวว่า ข้อเสนอแนะที่มองว่าภาครัฐสามารถทำได้ และควรเร่งดำเนินการคือ ต้องปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว ให้มีมาตรฐานมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงห้องน้ำสาธารณะ ถนน สะพาน ป้ายบอกทาง เพื่อรองรับการกลับมาเที่ยวของต่างชาติ ซึ่งมั่นใจว่าเมื่อน่านฟ้าเปิด ต่างชาติจะทะลักเข้ามาแน่นอน เพราะจากการพูดคุยกับต่างชาติในหลายประเทศ พบว่ามีความต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ไม่น้อยกว่าตอนก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด ทั้งยังเป็นการกระจายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเกิดการจ้างงานด้วย รวมถึงต้องการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำตลาดในส่วนของการประชาสัมพันธ์ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่อยากให้แผ่วลง เพราะมองว่าการมาเร่งทำตลาดในตอนที่ฟ้าเปิดแล้วจะไม่ทัน และการปรับโครงสร้างการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว จากที่ผ่านมาแย่งกันเติบโต ใครมือยาวสาวได้สาวเอา มาเป็นการเกาะกลุ่มเติบโตไปพร้อมกัน เพื่อสร้างความแข็งแรงของธุรกิจท่องเที่ยว รองรับวิกฤตใหญ่ใหม่ๆ ที่อาจมีเข้ามาอีก
นายชำนาญ กล่าวว่า สำหรับกรณีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ภาคเหนือ ซึ่งสร้างความเสี่ยงมากขึ้น เบื้องต้นมองว่า โอกาสในการระบาดระลอก 2 ในประเทศ และการกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้งจะไม่เกิดขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่าสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะทีมบุคลากรทางการแพทย์ไทยมีความสามารถสูงมาก ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก จึงเชื่อว่าจะสามารถควบคุมได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นเรื่องของผู้ที่ลักลอบเข้ามาแบบผิดกฏหมาย ทั้งคนไทยและเพื่อนบ้าน จึงมองว่าขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคน ทำให้ภาครัฐต้องเข้มงวดในการป้องกันการลักลอบเข้ามา โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณที่ติดกับชายแดน ส่วนประชาชนก็ต้องกลับมาเข้มงวดในการดูแลและป้องกันตนเองมากขึ้น ถือว่าเป็นการกระตุ้นให้มาตรการข้อปฏิบัติต่างๆ ที่เริ่มหละหลวมแล้วกลับมาเข้มแข็งมากขึ้น
“สิ่งที่ต้องเร่งทำของภาครัฐ เป็นเรื่องการใช้งบค้างท่อที่มีอยู่ ในการทำโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนในภาคการท่องเที่ยว ก็เป็นงบของโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวที่ยังเหลืออยู่ ควรเร่งรัดใช้จ่ายออกมา และโครงการกระตุ้นก็ควรปรับปรุงให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟโลนท์) ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้มากเท่าที่ควร และอยากให้รัฐช่วยเหลือในการลดต้นลดดอก เพื่อต่อลมหายใจให้ผู้ประกอบการต่อไปด้วย” นายชำนาญ กล่าว