รีเซต

‘ศักดิ์สยาม’ จี้ กทท. ตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เล็งชงเข้าครม.ปีนี้ - ตั้งเป้าไทยติดท็อปเทนโลก

‘ศักดิ์สยาม’ จี้ กทท. ตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เล็งชงเข้าครม.ปีนี้ - ตั้งเป้าไทยติดท็อปเทนโลก
ข่าวสด
3 มีนาคม 2565 ( 15:40 )
72

ข่าววันนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า ที่ผ่านมาแม้การท่าเรือฯ ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 แต่ก็ยังประคองธุรกิจให้ผ่านมาได้ โดยปี 2564 มีจำนวนตู้สินค้าที่เติบโตขึ้นเป็น 9.8 ล้าน TEU จากปี 2563 ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 9 ล้าน TEU และเมื่อเทียบจากการจัดอันดับประเทศที่มีการขนส่งสินค้าทั่วโลก เมื่อปี 2564 พบว่า ท่าเรือแหลมฉบัง อยู่ลำดับที่ 22 ของโลก และมีการขนส่งอยู่ที่ 8.4 ล้าน TEU

 

ทั้งนี้ ในปี 2564 การท่าเรือฯ มีรายได้โดยรวมเฉลี่ย 15,613 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,270 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 600 ล้านบาท และค่าใช้จ่าย 9,343 ล้านบาท ซึ่งการท่าเรือฯ มีรายได้สูงสุดเกี่ยวกับสินค้า 70.75% รายได้เกี่ยวกับเรือ 11.91% รายได้เกี่ยวกับค่าเช่าที่ดิน อาคารและคลังสินค้า 9.54% รายได้เกี่ยวกับบริการ 2.91% และรายได้อื่นๆ 4.98%

 

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า นอกจากติดตามผลการดำเนินงานของการท่าเรือแล้วฯ ยังเร่งรัดให้ การท่าเรือฯ จัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมและพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำ ลดต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์ สนับสนุนการส่งออกและนำเข้า เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยกองเรือไทย รวมทั้งลดการขาดดุลบริการด้านค่าระวางเรือ และเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับกองเรือไทย

 

 

เบื้องต้นได้เสนอให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจแต่ภาครัฐยังมีส่วนถือหุ้นในลักษณะเหมือน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการจัดตั้ง 3 บริษัทลูกร่วมทุนเอกชน และตั้งเป้าเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในปี 2565 นี้

 

ทั้งนี้ ยังสั่งการให้เร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และการนำระบบท่าเรืออัตโนมัติ มาใช้ในการปฏิบัติงานและการให้บริการ เพื่อให้เกิดความแน่นอนและแม่นยำในการวางแผน การบรรทุกและการขนถ่ายสินค้า อำนวยความสะดวกในการบริหารพื้นที่หลังท่า และสามารถเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งอื่น โดยการท่าเรือฯ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดในปี 2568 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

 

นอกจากนี้ ต้องเร่งรัดโครงการพัฒนาท่าเรือบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการโลจิสติกส์ และนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค สามารถเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภูมิภาคต่างๆ ภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเชื่อมการขนส่งระหว่างจีนสู่ท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือแหลมฉบัง ต่อไปอีกด้วย

 

“ส่วนอีกหนึ่งเป้าหมายที่กระทรวงคมนาคม ตั้งความหวังไว้คือในปี 2568 เมื่อเปิดใช้งานท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 อย่างเป็นทางการแล้ว ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีการขนส่งทางเรือมากติดระดับโลกแน่นอน และคาดว่าในปี 2572 เมื่อไทยพัฒนาและก่อสร้างโครงการสะพานเศรษฐกิจ หรือแลนด์บริดจ์ (ชุมพร-ระนอง) แล้วเสร็จ รวมกับท่าเรืออื่นๆ ที่มีอยู่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าเป็น 40 ล้าน ETU ซึ่งมากพอที่จะทำให้ไทยติดท็อป 10 ของโลกได้ในที่สุด” นายศักดิ์สยาม กล่าว

 

ด้านนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม กล่าวว่า ได้มอบแนวทางการดำเนินงานให้กับ การท่าเรือฯ เพิ่มเติม ได้แก่ การบริหารจัดการท่าเรือที่ประสบภาวะการบริหารที่ขาดทุน อาทิ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน และท่าเรือระนอง ให้กลับมาได้กำไรอีกครั้ง โดยต้องช่วยกันบูรณาการหารือกับภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรื่องการส่งเสริมสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก ท่าเรือแหลมฉบัง เข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อลดปัญหาจราจร และลดต้นทุนการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้การท่าเรือฯ เร่งรัดดำเนินการโครงการสมาร์ท คอมมูนิตี้ ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง