PTTGC พลิกสู่โอกาส ปั้นธุรกิจลดโลกร้อน
#PTTGC #ทันหุ้น - “PTTGC” รุกหนักธุรกิจลดโลกร้อนจัดงบ 5 พันล้านดอลลาร์ สำหรับลดคาร์บอน ยืนยันโครงการต้องได้กำไรมาร์จิ้นสูง ส่วนคาร์บอนเครดิตเป็นของแถม เดินหน้าลงทุน-ซื้อกิจการปิโตรคาร์บอนต่ำ ชู ALLNEX ต้นแบบมาร์จิ้นสูง 15% ลั่นปี 2030 พอร์ตธุรกิจคาร์บอนต่ำมาร์จิ้นสูงจะมีสัดส่วนอีบิทดา 70%เป้า NET ZERO ปี 2050 หรือ ปี 2593
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ว่า กระแสการลดโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนับเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับ PTTGC มากกว่า บริษัทจะเดินหน้าผลิตภัณฑ์ที่จะสอดคล้องกับเรื่องนี้มากขึ้น ตามแนวโน้มดีมานด์ที่สูงขึ้น
ส่วนผลกระทบจากการที่บริษัทเป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น ขณะนี้ยังไม่มี เนื่องจากกฎระเบียบต่าง เช่น กำแพงภาษี หรือ CBAM ในกลุ่มยุโรปยังต้องใช้เวลา ส่วนใหญ่ยังเป็นภาคสมัครใจ แต่บริษัทไม่ได้รอกฎเกณฑ์เพราะแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นสิ่งที่บริษัทต่อยอดจากความยั่งยืนที่ดำเนินการอยู่แล้ว
“จะเห็นได้จากการที่ PTTGC ได้รับการจัดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ปี 2564 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และยังติดอันดับ Top 10 ประเภท DJSI World และ Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ซึ่งการเข้า DJSI ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม เท่านั้น แต่จะมีตัววัด 3 ด้านที่สมดุล ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”
@ ลุยธุรกิจคาร์บอนต่ำ
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า PTTGC ได้วางเป้าหมายของการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ NET ZERO ในปี 2050 หรือ 2593 ซึ่งมีความท้าทายเพราะบริษัทเป็นผู้ผลิต แต่เป็นการต่อยอดจากการที่บริษัทได้ดำเนินการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) หรือการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ส่วนปี 2030 หรือ 2573 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 20% ผ่านดำเนินการ 3 เรื่อง ประกอบด้วย
1.การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะลดก๊าซเรือนกระจกได้ในสัดส่วน 20% ผ่านเทคโนโลยี ดิจิทัลไลฟ์ นำพลังงานเชื้อเพลิงสะอาดมาใช้ในกระบวนการต่างๆ ซึ่งจะทำค่อนข้างมากใน 10 ปีแรก 2. การปรับพอร์ตธุรกิจ จะลดก๊าซเรือนกระจกได้ 25% โดยบริษัทจะเข้าซื้อผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ที่มีมูลค่าสูงมากขึ้น และจะลดผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงลง ยกตัวอย่างการเข้าไปลงทุนใน ALLNEX ซึ่งเป็นสารเคลือบ คาร์บอนต่ำ บริษัทดังกล่าวมีอิบิทดาเกือบ 400 ล้านยูโร การลงทุนในลักษณะนี้จะได้ คุณภาพของกำไรที่ดีขึ้น ยิ่งเป็นปิโตรเคมีคาร์บอนต่ำและมีการเติบโตด้วย ก็จะทำให้ผลตอบแทนของบริษัทดีมากขึ้น
3.การดำเนินการด้านการลดโลกร้อนด้วยวิธีอื่นๆ นอกเหนือจากการผลิต จะมีสัดส่วนการลดก๊าซเรือนกระจก ราว 55% เช่น การปลูกป่า การดักจับคาร์บอน โดยข้อ 1 และ 3 บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 30 ปี ส่วนข้อ 2 เป็นการลงทุนตามปกติด้วยเม็ดเงินราว 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์
@มาร์จิ้นสูงเติบโตดี
ดร.คงกระพัน กล่าวด้วยว่า การดำเนินธุรกิจลดโลกร้อนนั้น จะอยู่บนหลักการกำไรต้องดี โปรดักต์ต้องยั่งยืน และต้องมีอีบิทดาที่เติบโตด้วย เช่น ALLNEX มีอีบิทดามาร์จิ้นถึง 15% หรือกลุ่มธุรกิจไบโอกรีน ซึ่งบริษัทมีโรงงานไบโอพลาสติกที่ย่อยสลายได้เป็นอันดับ 1 ของโลกในมาบตาพุด หรือกลุ่ม Circular Recycle บริษัทมีโรงงานรีไซเคิลที่ใหญ่สุด ผลตอบแทนโครงการนับว่าสูงกว่าธุรกิจปิโตรเคมีปกติ เหล่านี้ในการลงทุนจะมีผลตอบแทนดีด้วยตัวธุรกิจเอง ยังไม่นำมูลค่าจากการลดคาร์บอน หรือ คาร์บอนเครดิต เข้ามาคำนวณ ซึ่งจะเป็นอัพไซด์ต่อไป
"PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ดำเนินการเรื่องโลกร้อนในกลุ่มผู้นำ วันนี้เราผลิตเคมี 15 ล้านตัน และจะเลิกทำผลิตภัณฑ์ใช้แล้วทิ้งในปีหน้า ต้องมีแผนชัดเจน ทำให้เป็นรูปธรรม เพื่อทำให้รุ่นหลังทำเร็วขึ้นและต้นทุนถูกลง"
จากการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้พอร์ตธุรกิจของ PTTGC ในปี 2030 เป็นดังนี้ กลุ่ม 1 Performance Chemicals ธุรกิจมาร์จิ้นสูงคู่แข่งน้อย มีอีบิทดาสัดส่วน 35% เช่น ธุรกิจเคลือบ ALLNEX กลุ่มที่ 2 Bio&circularity หรือ กลุ่มกรีน ซึ่งมีความเฉพาะตัวจะมีสัดส่วน 5% กลุ่มที่ 3 ธุรกิจโพลิเมอร์และเคมีคัล ที่ลูกค้านำนวัตกรรมไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ จะมีสัดส่วน 30% ส่วน 4 และ 5 คือกลุ่มปิโตรเคมีขั้นต้น ขั้นกลาง การกลั่นน้ำมัน สัดส่วนจะลดลงเหลือระดับ 30%
“ทั้ง 3 กลุ่มแรกจะมีมาร์จิ้นสูง สัดส่วนจะสูงขึ้นด้วยการปรับพอร์ตดังกล่าวจะทำให้ความผันผวนของผลประกอบการลดลง ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีขั้นกลางมาร์จิ้นหลักเดียวก็จะลดลงมา โรงกลั่นเราไม่ได้ปิด แต่ก็จะใช้เป็นวัตถุดิบได้”