ภราดรแจงงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้ทำ “คนละครึ่ง พลัส” กระตุ้น GDP ปลายปี

ภราดรยืนยันใช้งบกลางทำ “คนละครึ่ง พลัส” ถูกต้องตามกรอบเดิม
นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงบประมาณ กล่าวยืนยันว่า การนำงบกลางจำนวน 19,000 ล้านบาท มาใช้ในโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นการดำเนินการที่อยู่ในกรอบงบประมาณที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้จัดสรรไว้เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะ”
โดยรัฐบาลเดิมได้กันวงเงิน 25,000 ล้านบาท ไว้ในหมวด “งบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” ซึ่งเมื่อนำมาใช้ร่วมกับโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่ต้องใช้งบรวมทั้งหมด 44,000 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องเติมงบส่วนที่ขาดอีก 19,000 ล้านบาท จากงบกลางทั้งหมดที่ตั้งไว้ 99,000 ล้านบาท เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้ครบถ้วนตามเป้าหมาย
นายภราดรระบุว่า “รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้เป็นผู้ตั้งงบประมาณนี้ แต่มีหน้าที่ใช้งบที่รัฐบาลก่อนตั้งไว้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงถือว่าเป็นการใช้จ่ายตามเจตนารมณ์เดิมที่ตั้งไว้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ”
เหตุผลที่ใช้งบกลาง “เศรษฐกิจคือภัยเร่งด่วน”
ภราดรอธิบายว่า การใช้งบกลางครั้งนี้ไม่ขัดต่อหลักเกณฑ์ เพราะ “งบกลาง” สามารถใช้ในกรณีที่มีสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในขณะนี้ เข้าข่าย “ภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องเร่งกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
“รัฐบาลประกาศชัดว่าจะต่อสู้กับ 4 ภัย หนึ่งในนั้นคือเศรษฐกิจ ดังนั้นการใช้งบกลางเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน” — นายภราดร กล่าว
นอกจากนี้ ยังระบุว่าโดยปกติ งบประมาณสำหรับเยียวยาประชาชนในแต่ละปีจะอยู่ระหว่าง 20,000–30,000 ล้านบาท ดังนั้นการนำงบกลางส่วนนี้มาใช้จึงไม่กระทบต่อภารกิจในอนาคต หากเกิดเหตุจำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ รัฐบาลยังมีงบสำรองเพียงพอ
ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก “คนละครึ่ง พลัส”
นายภราดรเปิดเผยว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประเมินผลของโครงการว่า หากดำเนินการตามแผนในไตรมาสสุดท้ายของปี จะช่วย เพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ได้ประมาณ 0.3–0.4% จากแรงกระตุ้นของการบริโภคภาคครัวเรือน
ทั้งนี้ รัฐบาลคาดหวังว่า “คนละครึ่ง พลัส” จะช่วยหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มร้านค้ารายย่อย วิสาหกิจชุมชน และตลาดท้องถิ่น ซึ่งเป็นกลไกหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
ยืนยันไม่กังวลหากถูกตรวจสอบ
เมื่อถูกถามถึงความกังวลกรณีมีผู้ร้องเรียนเรื่อง “การโยกงบกลาง” นายภราดรตอบว่า รัฐบาลพร้อมให้ตรวจสอบทุกขั้นตอน เพราะงบกลางได้ระบุไว้ชัดเจนว่าสามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินและเร่งด่วนได้
“เศรษฐกิจตอนนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินของประเทศ ถ้าไม่รีบกระตุ้น การฟื้นตัวอาจล่าช้าและกระทบต่อรายได้ประชาชน” — นายภราดร กล่าวย้ำ
มุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การใช้งบกลางครั้งนี้มีความเหมาะสมในเชิงเศรษฐกิจ เพราะช่วยสร้างสภาพคล่องและแรงซื้อในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายสำคัญ อย่างไรก็ตาม การใช้เงินก้อนใหญ่จากงบกลางควรอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่โปร่งใส และมีการติดตามผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่า หากโครงการสามารถเริ่มได้ตามแผนในเดือนพฤศจิกายน อาจช่วยให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2568 เติบโตแตะ 3.2–3.4% จากเดิมที่คาดไว้เพียง 2.9%
การใช้งบกลางจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาทใน “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ถือเป็นส่วนขยายของงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ได้จัดสรรไว้ โดยรัฐบาลปัจจุบันนำมาใช้ต่อเนื่องเพื่อให้โครงการเดินหน้าอย่างครบวงจร ทั้งยังอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายงบประมาณปกติ ซึ่งสามารถใช้ในกรณี “จำเป็นเร่งด่วน” ได้
ภราดรย้ำว่า การใช้งบครั้งนี้ไม่ใช่การโยกงบโดยพลการ แต่เป็นการใช้งบเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยพยุงกำลังซื้อของประชาชนในช่วงปลายปี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
